ทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์แนะนำ กรุ๊ป กรุ๊ปเหมา ราคาถูก!! 2567 - 2568 นำเที่ยวทั่วโลก หลากหลายครบทุกเส้นทาง โปรโมชั่นอัพเดท แหล่งรวมทัวร์ไฟไหม้​มากที่สุด
ใบขออนุญาตการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เลขที่
11/10606

วันเวลาทำการ

วันจันทร์-ศุกร์ : 09.00 – 18.00 น. เสาร์-อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์ หยุดทำการ

เบอร์โทรติดต่อ

      บทความท่องเที่ยว
      • How to ต่อวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา ทางไปรษณีย์ ทางเลือกแสนสะดวกช่วง COVID – 19
        How to ต่อวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา ทางไปรษณีย์ ทางเลือกแสนสะดวกช่วง COVID – 19
        longweekend - สิงหาคม 19, 2021

        หากใครเคยทำวีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) ที่มีอายุ 10 ปีหรือวีซ่าผ่านแดน/ลูกเรือ C1/D ที่ยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุไม่เกิน 48 เดือน (4ปี) นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (ปกติจะเป็นกรณีหมดอายุไม่เกิน 1 ปี) และเคยพิมพ์ลายนิ้วมือมาแล้ว เราสามารถทำวีซ่าทางไปรษณีย์ได้เลย ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ที่สถานฑูตนะ รีวิวนี้จะมาบอกขั้นตอนต่างๆในการสมัครต่อวีซ่าทางไปรษณีย์โดยขอเน้นไปทางวีซ่าท่องเที่ยวนะคะ

        คุณสมบัติการขอยื่นวีซ่าทางไปรษณีย์ (อ้างอิงจากเว็บไซต์สถานฑูต)

        1. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) หรือ C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) ที่ยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุแล้วไม่เกิน 48 เดือน (สี่ปี) นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (ปกติจะหมดอายุไม่เกิน 12 เดือน)สำหรับวีซ่าประเภทอื่นๆ กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        2. ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศไทยในขณะที่สมัคร
        3. ข้าพเจ้าไม่ได้เกิด หรือถือหนังสือเดินทางของประเทศคิวบา เกาหลีเหนือ ซีเรีย ซูดาน หรือ อิรัก
        4. วีซ่าที่ข้าพเจ้าเคยได้รับในครั้งก่อน ไม่ได้สูญหาย ถูกขโมย หรือถูกยกเลิก
        • หากสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกยกเลิก กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        5. ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และสัญชาติที่ระบุอยู่บนหน้าหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบันของข้าพเจ้าตรงกับข้อมูลในวีซ่าที่ข้าพเจ้าเคยได้รับในครั้งก่อน
        • หากชื่อ และ/หรือ นามสกุลแตกต่างกับวีซ่าที่ท่านเคยได้รับในครั้งก่อน กรุณาแนบสำเนาใบเปลี่ยนชื่อ และ/หรือ นามสกุลที่ออกโดยหน่วยงานราชการ
        • หากวันเดือนปีเกิด และ/หรือ สัญชาติไม่ตรงกับวีซ่าที่ท่านเคยได้รับในครั้งก่อน กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        6. ข้าพเจ้าได้รับวีซ่าครั้งก่อน ณ ขณะที่ข้าพเจ้ามีอายุ 14 ปีขึ้นไป และข้าพเจ้าเคยทำการพิมพ์ลายนิ้วมือครบทั้ง 10 นิ้ว ระหว่างที่เข้ารับสัมภาษณ์วีซ่าครั้งก่อน
        • สถานทูตฯและสถานกงสุลสหรัฐฯ เริ่มทำการพิมพ์ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550
        7. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าประเภทเดียวกันกับวีซ่าปัจจุบันที่ยังไม่หมดอายุ หรือวีซ่าที่เคยได้รับในครั้งก่อน
        • สำหรับการต่ออายุวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) และ C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) วีซ่าล่าสุดที่ผู้สมัครได้รับต้องมีอายุการใช้งานเต็ม
        • สำหรับการต่ออายุวีซ่าประเภท C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) ผู้สมัครต้องแนบจดหมายรับรองการทำงานจากบริษัท
        • สำหรับผู้สมัครที่มีอายุต่ำกว่า14 ปี ต้องแนบสำเนาใบสูติบัตร และ สำเนาหน้าวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) ที่ยังไม่หมดอายุของบิดา หรือ มารดาท่านใดท่านหนึ่ง หรือทั้งสองท่าน หรือผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
        8. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าสหรัฐฯกับสถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯในเขตพื้นที่ที่ข้าพเจ้ามีถิ่นพำนักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ข้าพเจ้ารับทราบว่าข้าพเจ้าอาจได้รับการติดต่อเพื่อเข้ามาสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯ หรือสถานกงสุลฯ
        9. วีซ่าล่าสุดที่ข้าพเจ้าได้รับไม่มีคำระบุใดๆ ในช่อง Annotation เช่น “Clearance Received” “Waiver Granted” หรือ “Fingerprints Waived”
        10. วีซ่าล่าสุดที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่ในหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน หรือ อยู่ในหนังสือเดินทางเล่มเก่าของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะยื่นพร้อมใบสมัครทางไปรษณีย์
        11. ข้าพเจ้าไม่เคยถูกปฏิเสธการเดินทางเข้าสหรัฐฯ
        12. ข้าพเจ้าไม่เคยถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯ หรือ หากข้าพเจ้าเคยถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯมาก่อน ข้าพเจ้าได้รับการอนุมัติวีซ่าในภายหลัง ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทเดียวกันกับที่ข้าพเจ้ากำลังต่ออายุ
        13. ข้าพเจ้าตอบ “ไม่” (No) ในส่วนของคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและประวัติ (Security and Background) ในแบบฟอร์ม DS-160 ทุกข้อ  

        ซึ่งถ้าหากเราขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ต้องนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตใหม่นะ ถ้าหากมีคุณสมบัติครบทุกข้อแล้ว

        อ่านขั้นตอนการต่อวีซ่าได้เลย

        ขั้นตอนที่ 1

        – กรอกแบบฟอร์ม DS-160

        – กรุณาอ่าน วิธีการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 อย่างละเอียด โดยข้อมูลทั้งหมดที่กรอกนั้นต้องถูกต้องและตรงตามความจริง หลังจากได้ทำการกดยืนยัน (submitted) แบบฟอร์ม DS-160 ของแล้ว จะไม่สามารถทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ได้อีก

        *ศูนย์บริการข้อมูลไม่สามารถให้ความช่วยเหลือในการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 นี้ได้*

        **โปรดทราบ: จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์เพื่อพิมพ์ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ของในขั้นตอนนี้

        ขั้นตอนที่ 2

        – สร้างโปรไฟล์ และชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า

        – โปรดศึกษาข้อมูลที่อธิบายไว้ใน หน้าค่าธรรมเนียมวีซ่า ซึ่งจะแสดงรายละเอียดของวีซ่าแต่ละประเภทและค่าธรรมเนียมทั้งในสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯและสกุลเงินบาท

        – สำหรับรายละเอียดวิธีการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า กรุณาคลิกที่นี่

        – หลังจากที่ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าเรียบร้อยแล้ว กรุณาเก็บใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าไว้

        ขั้นตอนที่ 3

        ล็อกอิน เข้าโปรไฟล์ของด้วยรหัสผ่านเดิมที่คุณได้กำหนดไว้ระหว่างขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า เพื่อตอบคำถามและพิมพ์แบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด

        ข้อมูลที่จะต้องกรอกในขั้นตอนนี้คือ

        – หมายเลขหนังสือเดินทางของท่าน

        – หมายเลขใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า (คลิกที่นี่ หากท่านต้องการความช่วยเหลือในการค้นหาหมายเลขใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า) และ

        – หมายเลขบาร์โค้ด 10 หลักที่ระบุไว้บนใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ของคุณ

        ขั้นตอนที่ 4 (ขั้นตอนสุดท้าย)

        – เตรียมเอกสารและยื่นเอกสารผ่านทาง สำนักงานไปรษณีย์ไทย (กรุณาตรวจสอบเอกสารตาม checklist ที่ระบุด้านล่าง)

        – กรุณาปฏิบัติตามขั้นตอนใน checklist ที่ระบุไว้บนแบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด และส่งเอกสารมายังสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพหรือสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำเชียงใหม่

        – เมื่อผลการพิจารณาวีซ่าของคุณเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงานไปรษณีย์ไทยจะจัดส่งหนังสือเดินทางและเอกสารคืนให้กับท่านตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้

        เอกสารที่ต้องใช้ในการต่ออายุวีซ่าทางไปรษณีย์

        – แบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด

        – หนังสือเดินทางเล่มปัจจุบันซึ่งจะต้องมีหน้าว่างอย่างน้อยสองหน้าเพื่อการติดวีซ่า

        – หนังสือเดินทางเล่มเก่าที่มีวีซ่าสหรัฐฯที่ได้รับล่าสุดซึ่งยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุไม่เกิน 24 เดือน (หากวีซ่าดังกล่าวไม่ได้อยู่ในหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน)

        – ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ที่มีแถบบาร์โค้ด ซึ่งกรอกครบถ้วนและได้ทำการกดยืนยัน (submitted) ออนไลน์แล้ว

        – รูปถ่ายสี สองรูป (ขนาด 5×5 เซนติเมตร หรือ 2×2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว มีอายุไม่เกินหกเดือน ไม่สวมใส่แว่นตา คอนแทคเลนส์สี หรือหมวก) **โปรดจำไว้ว่า การยื่นรูปถ่ายที่ขาดคุณสมบัติอาจมีผลให้กระบวนการต่ออายุวีซ่าของท่านล่าช้า**

        – ใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า

        – สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ และ/หรือ นามสกุลที่ออกโดยหน่วยงานราชการ (หากมีการเปลี่ยนแปลง)

        ข้อควรรู้เพิ่มเติม

        – การยื่นวีซ่าผ่านทางไปรษณีย์ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าวีซ่าของคุณจะได้รับการอนุมัติ

        – ในบางกรณี ผู้สมัครวีซ่าอาจได้รับการติดต่อให้มาเข้ารับการสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯ อย่างเช่นในกรณีของผู้สมัครที่กรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ หรือยื่นเอกสารไม่ครบ โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯจะติดต่อไปโดยตรงเพื่อแจ้งให้ทราบหากจำเป็นต้องมาเข้ารับการสัมภาษณ์ หรือต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม

        – การต่ออายุวีซ่าทางไปรษณีย์จะใช้เวลาประมาณ15 วันทำการ หากมีความจำเป็นจะต้องเดินทางอย่างเร่งด่วน กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ

        การติดตามสถานะการจัดส่งเอกสารการต่ออายุวีซ่า

        หากคุณยื่นเอกสารสมัครวีซ่าผ่านทาง จุดรับยื่นเอกสารของสำนักงานไปรษณีย์ไทย กรุณาเก็บหลักฐานยืนยันการส่งเอกสารไว้กับตัว โดยจะสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งเอกสารการต่ออายุวีซ่าได้จาก เว็บไซต์ของสำนักงานไปรษณีย์ไทย

        ภายในสถานการณ์การเช่นนี้ การเพิ่มช่องทางไปรษณีย์ถือเป็นอีกหนึ่งการจัดการที่ยอดเยี่ยม ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ที่จำเป็นต้องต่อวีซ่า ให้สามารถดำเนินการได้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้สถานทูตฯเปิดให้บริการ

        สำหรับใครที่มีข้อสงสัย และอยากสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อไปยังสถานทูตฯได้โดยตรง หรือที่เพจ : U.S. Embassy Bangkok

        ที่มา: U.S. Embassy Bangkok

      • ขอวีซ่า เชนเก้น(Schengen)..ทำอย่างไร มาดูกันเลย
        ขอวีซ่า เชนเก้น(Schengen)..ทำอย่างไร มาดูกันเลย
        longweekend - สิงหาคม 17, 2021

        วีซ่าเชงเก้นเข้าได้กี่ประเทศ?

        บุคคลที่ได้รับวีซ่าเชงเก้นจะสามารถเดินทางได้โดยเสรีไปยัง 26 ประเทศเชงเก้น โดยไม่ต้องขอตรวจวีซ่าที่ชายแดนของแต่ละประเทศอีกเพราะมีนโยบายด้านวีซ่าร่วมกัน ประกอบไปด้วยประเทศในยุโรป 26 ประเทศ ในจำนวนนี้มี 22 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเชก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี แลตเวีย ลิธัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สโลวัก สโลวีเนีย สเปน และสวีเดน และอีก 4 ประเทศนอกสหภาพยุโรป คือ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์

        สำหรับการขอวีซ่าเชงเก้นในแต่ละประเทศนั้นจะมีกฎระเบียบเบื้องต้นใกล้เคียงกัน พิจารณา หรือเอกสารเพิ่มเติมต่างกันบ้าง แต่ก็อาจจะมีบางประเทศที่แตกต่างออกไป เช่น อิตาลี ออสเตรีย สเปน และอื่นๆ ให้เราดำเนินการผ่านหน่วยงานกลาง VFS Global , ฝรั่งเศสจะผ่านทาง TLS หรือบางประเทศทางสถานทูตดำเนินการเอง ซึ่งระบบบางอย่างจะต่างกันไป เช่น เรื่องนัดหมาย หรือเวลา โดยสำหรับการเดินทางระยะสั้น ไม่เกิน 90 วัน และขอล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน

        เตรียมตัวก่อนยื่นเอกสารขอวีซ่าเชงเก้น

        การวางแพลนท่องเที่ยวนั้นสำคัญ ต้องวางแผนว่าเราจะเข้าประเทศไหน เที่ยวต่อประเทศไหน และออกประเทศไหน แต่ละประเทศใช้เวลาพำนักอยู่กี่วัน การวางแพลนนี้จะสามารถตัดสินได้ค่ะว่าเราจะต้องขอวีซ่าเชงเก้นกับสถานทูตประเทศอะไร

        ปัจจัยหลัก 2 ข้อที่ต้องจำขึ้นใจเลยคือ

        • เราวางแผนจะพำนักอยู่ในประเทศไหนนานที่สุดให้ขอวีซ่าเชงเก้นกับสถานฑูตประเทศนั้นครับ เช่น แพลนของเราคือ ฝรั่งเศส 3 วัน เยอรมัน 5 วัน อิตาลี 4 วัน นั่นหมายความว่าเราต้องขอวีซ่าเยอรมันจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยนั่นเองครับ สำหรับคนที่เคยยื่นขอวีซ่าเชงเก้นมาก่อนจะทราบดีว่าการขอวีซ่าเยอรมันนั้นยากสุดๆ แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยนะคะ
        • หากเราใช้เวลาพำนักอยู่ในประเทศที่เราเดินทางไปเท่ากันทุกประเทศให้ขอวีซ่าเชงเก้นกับประเทศแรกที่เราเดินทางไปถึงครับ เช่น แพลนของเราคือ เยอรมัน 3 วัน ฝรั่งเศส 3 วัน อิตาลี 3 วัน และเราจองตั๋วเครื่องบินจากไทยไปลงที่ประเทศเยอรมันเป็นประเทศแรก นั่นหมายความว่าเราต้องขอวีซ่าเยอรมันจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยนั่นเองค่ะ

        ขั้นตอนเตรียมเอกสารทำวีซ่าในการขอวีซ่าเชงเก้น

        สำหรับใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวยุโรปต้องทำการบ้านและเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นกันให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะในแต่ละประเทศจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และการสัมภาษณ์ยากง่ายแตกต่างกันออกไป ผู้ขอวีซ่าควรเข้าไปศึกษาจากเวปไซด์ของประเทศนั้นๆ ก่อน เพื่อความถูกต้องของข้อมูลและความเรียบร้อยในการเตรียมเอกสาร ว่าแล้วก็มาจัดเอกสารและเรียนรู้วิธีขอเชงเก้นวีซ่าตั้งแต่ขั้นตอนแรกกันเลย

        1. กรอกใบคำร้องขอวีซ่า 

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า สามารถดาวน์โหลด ได้จากเวปไซต์ของสถานทูตในประเทศที่คุณจะไปเป็นหลัก เช่น

        • สถานกงสุลเอสโตเนีย – คลิก
        • สถานทูตฝรั่งเศส – คลิก
        • สถานทูตเบลเยี่ยม – คลิก
        • สถานทูตประจำราชอาณาจักรเดนมาร์ก – คลิก
        • สถานทูตฟินแลนด์ – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสาธารณรัฐโปแลนด์ – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสาธารณรัฐเช็ก – คลิก
        • สถานทูตสวีเดน – คลิก
        • สถานทูตเนเธอร์แลนด์ – คลิก
        • สถานทูตออสเตรีย – คลิก
        • สถานทูตกรีซ – คลิก
        • สถานทูตสโลวาเกีย – คลิก
        • วีซ่ามอลต้า (สถานทูตออสเตรียเป็นตัวแทน) – คลิก
        • วีซ่าไอซ์แลนด์ (สถานทูตเดนมาร์กเป็นตัวแทน) – คลิก

        การเตรียมเอกสารทำวีซ่า หลังจากกรอกใบคำร้องขอวีซ่าแล้วสามารถยื่นเอกสารได้ที่สถานทูต หรือหน่วยงานที่เป็นผู้จัดการรับเอกสารการยื่นคำร้องขอวีซ่า โดยควรยื่นไม่เกิน 3 เดือนก่อนเดินทาง และไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนเดินทาง ถ้าเราจะไปมากกว่า 1 ประเทศในทริปนี้ ให้ยื่นเอกสารขอวีซ่าจากสถานฑูตประเทศที่เราจะไปพำนักอยู่นานที่สุด แต่ถ้าจะไปประเทศละแค่วันสองวัน ก็ยื่นเอกสารวีซ่าเชงเก้นจากประเทศแรกที่เราจะเข้าไปก็ได้เช่นกัน

        2. พาสปอร์ต

        ใครที่พาสปอร์ตใกล้จะหมดอายุ ควรต่อพาสปอร์ตให้เรียบร้อย เพราะพาสปอร์ตต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 3 เดือนจากวันที่เดินทางกลับ และพาสปอร์ตควรมีที่ว่างอย่างน้อย 2 หน้า และควรเตรียมสำเนาไว้อย่างน้อยๆ 2 ฉบับ หรือมากกว่า และควรเตรียมพาสปอร์ตเก่าที่มีวีซ่าของประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ หรืออเมริกาไปแสดงในวันสัมภาษณ์ด้วย

        3. รูปถ่าย

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป สีพื้นหลังควรเป็นสีขาว หรือสีอ่อน ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ไม่ผ่านการปรับแต่งรูปภาพใดๆ ทั้งสิ้น

        4. หนังสือรับรองการทำงาน

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า หนังสือรับรองการทำงานที่เป็นภาษาอังกฤษ และเอกสารมีอายุไม่เกิน 1 เดือน

        5. หนังสือรับรองจากธนาคาร

        หนังสือรับรองธนาคารหรือเอกสารที่แสดงถึงรายได้ของผู้ขอวีซ่าช่วง 6 เดือนย้อนหลัง

        6.รวบรวมเอกสารสำเนาการจองที่พัก และตั๋วโดยสาร

        ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน รถไฟ ฯลฯ ใช้แค่หลักฐานการจองก็พอ ดังนั้น ควรใช้บัตรเครดิตจองไปก่อน อย่าเพิ่งซื้อก่อนได้วีซ่า เผื่อมีการเปลี่ยนแปลง

        7. รายละเอียดแผนการเดินทาง

        การเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นจะต้องบันทึกให้ละเอียดว่าจะมีการเดินทางเข้า – ออก ประเทศใดบ้าง โดยอาจเขียนเป็นรายวันว่า ไปประเทศใด เข้าพักที่ไหน เดินทางอย่างไร แบบละเอียด

        8. หนังสือเชิญจากบริษัท หน่วยงาน ที่ระบุวัตถุประสงค์ชัดเจน

        หรือหนังสือรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างผู้เชิญและผู้ยื่นวีซ่า (เช่น สูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน)

        9.ค่าธรรมเนียม

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า จะมีค่าธรรมเนียมในการทำวีซ่า ประมาณ 2,500 บาท

        10. กรรมธรรม์ประกันภัยการเดินทาง

        การเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นจำเป็นต้องมี ประกันการเดินทางที่เชื่อถือได้ และมีวงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อย 30,000 ยูโร หรือประมาณ 1,300,000 บาทขึ้นไป โดยจะต้องครอบคลุมตลอดทั้งช่วงของการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเองควรมองหาประกันในต่างประเทศที่คุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล อุบัติเหตุฉุกเฉินสำหรับการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำทางการแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง และครอบคลุมการคุ้มครองเกี่ยวกับการเดินทางเช่นกระเป๋าหาย หรือ ไฟลท์ดีเลย์อีกด้วย โดยควรศึกษารายชื่อบริษัทประกันที่สถานทูตแต่ละประเทศยอมรับอย่างเช่นประกันภัยจากซิกน่า เป็นต้น

        เมื่อเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการทำนัดขอสัมภาษณ์ ซึ่งการตัดสินของสถานฑูตจะอยู่บนพื้นฐานของคำร้อง เอกสารสนันสนุน และการสัมภาษณ์ ถ้าโดนปฎิเสธวีซ่า ทางผู้จัดทำจะไม่สามารถคืนค่าธรรมเนียมได้ โดยเหตุผลในการปฏิเสธวีซ่าอาจเป็น

        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่มีเอกสารการเดินทางที่ยังคงมีอายุ
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่สามารถแสดงเอกสารยืนยันเหตุผลของการเดินทางได้
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่มีเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางได้
        • ผู้ยื่นขอมีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงเข้าประเทศโดยผิดกฏหมาย
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าอาจถูกห้ามเข้ารัฐสมาชิกเชงเก้น บุคคลนั้นอาจถูกพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยงต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศ หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของรัฐสมาชิกบางรัฐ
      • ขั้นตอนขอวีซ่า อเมริกา
        ขั้นตอนขอวีซ่า อเมริกา
        longweekend - สิงหาคม 10, 2021

        สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่ติดอันดับที่ใครหลายคนอยากไปเที่ยวมากที่สุด แต่การจะไปเที่ยวนั้นด่านแรกที่สำคัญที่สุด ก็คือการ ยื่นขอวีซ่าอเมริกา นั่นเอง ต้องใช้เอกสารค่อนข้างเยอะ ต้องมีการสัมภาษณ์ และมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป ขอเพียงเรามีการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับรองมีชัยไปกว่าครึ่ง เรามาลองดูขั้นตอนกันดีกว่าค่ะ รับรองไม่ยากอย่างที่คิด

        โดยหลักๆ แล้วการเดินทางไปอเมริกาจะมีวีซ่าอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 

        1. วีซ่าชั่วคราว (Non-Immigrant Visa)
        2. วีซ่าถาวร (Immigrant Visa)

         โดยในที่นี้เราจะพูดถึงเฉพาะวีซ่าชั่วคราว ซึ่งสามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์แยกย่อยได้อีก ดังนี้ 

        ประเภทวีซ่าตัวย่อแต่ละประเภทวัตถุประสงค์
        วีซ่าท่องเที่ยวและเยี่ยมเยียนB-2การท่องเที่ยวภายในประเทศ, เดินทางไปเยี่ยมญาติหรือคนรู้จักที่สนิทสนม, รับการรักษาในด้านสุขภาพ
        วีซ่าธุรกิจB-1เดินทางธุรกิจ ประชุม สัมมนาหรือฝึกอบรมระยะสั้น
        วีซ่าทำงานE, H (H1B, H2, H-2B, H-3), L, O, P, I, Jนักลงทุน ผู้ประกอบกิจการ
        วีซ่าการศึกษาหรือแลกเปลี่ยนF, M, J, B-2นักเรียน นักศึกษา นักเรียนแลกเปลี่ยน

        สำหรับบทความนี้ก็จะเน้นไปที่วีซ่าท่องเที่ยว และเยี่ยมเยียนเป็นหลัก นั่นก็คือ B-2 นั่นเอง หรือถ้าไปเพื่อรักษาพยาบาลก็อยู่ในหมวดนี้เช่นกัน 

        วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา อยู่ได้กี่เดือน?

        เอกสารที่จำเป็นสำหรับการ ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา

             เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นทำวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาหรือ B-1/B-2 สำหรับคนไทย มีดังต่อไปนี้

        • หนังสือเดินทาง (มีอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป)
        • สเตทเม้นท์ธนาคาร (ย้อนหลัง 6 เดือน)
        • รูปถ่ายวีซ่า (2 ชุด)
        • เอกสารสินทรัพย์ (ถ้ามี)
        • เอกสารทางส่วนบุคคล
        • เอกสารเปลี่ยนชื่อและนามสกุล (ถ้ามี)
        • บัตรประชาชนไทย
        • ทะเบียนบ้าน
        • หลักฐานการทำงานหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจ

        แม้จะต้องเตรียมเอกสารไปมากมาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางสถานทูตว่าจะขอดูเอกสารนั้นๆ หรือไม่ หลักๆ คือทางเจ้าหน้าที่จะทำการประเมินคุณสมบัติของเราจากหลักฐานหลายๆ ด้าน ทั้งนี้มีเอกสารอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ที่ควรเตรียมไปด้วย เช่น

        • หนังสือชี้แจงหรือจดหมายเชิญที่มีการระบุถึงวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปอเมริกา
        • รายละเอียดความตั้งใจของคุณที่จะเดินทางกลับออกมาจากสหรัฐอเมริกาหลังจากการเดินทาง
        • ความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการเดินทาง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอย่างอื่น
        • หลักฐานการจ้างงาน และ/หรือความผูกพันในครอบครัวของคุณ ที่จะแสดงให้ทางสถานทูตเห็นว่าคุณมีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่สิ้นสุดการท่องเที่ยวหรือทำธุระแล้ว นอกจากนี้หากตัวคุณเองไม่สามารถแสดงจำนวนเงินที่คุณมีให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการเดินทางของคุณ คุณอาจแสดงหลักฐานว่าบุคคลอื่น หรือว่าใครจะช่วยคุณออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย (สปอนเซอร์)

        คุณสมบัติที่อาจส่งผลให้ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาไม่ผ่าน

        เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากที่ได้โอกาสเดินทางไปอเมริกา แล้วก็แอบหนีวีซ่า เข้าไปทำงานหรือเข้าไปอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย ทำให้สถานทูต และสถานกงสุลสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยจะมีความเข้มงวดกับการให้วีซ่าในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อการท่องเที่ยวของคนไทย ซึ่งแม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข้อมูลว่าการมีคุณสมบัติต่อไปนี้อาจส่งผลให้ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาไม่ผ่าน เช่น

        • ผู้สมัครทำงานฟรีแลนซ์ และประเภทของงานนั้นไม่มีความมั่นคง
        • ผู้สมัครเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ทำธุรกิจโดยไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง
        • ผู้สมัครทำงานประจำ แต่เพิ่งเริ่มทำงานที่ใหม่ หรือทำงานในตำแหน่งที่ได้รับรายได้ต่ำ (ในมุมมองสถานทูต)
        • ผู้สมัครอ้างอิงคนรู้จักหรือสปอนเซอร์ที่อเมริกา แต่คนๆ นั้นทำงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สถานทูตมองว่าคุณอาจเดินทางเพื่อแอบไปทำงานได้
        • ผู้สมัครมีญาติใกล้ชิดที่หนีวีซ่าอยู่ที่อเมริกา
        • ผู้สมัครเดินทางไปเที่ยวอเมริกาคนเดียว
        • ประวัติการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของผู้สมัครในพาสปอร์ตไม่มีเลย หรือมีน้อย
        • ผู้สมัครมีแฟนเป็นคนสัญชาติอเมริกัน (กรณีนี้ควรขอวีซ่าถาวร เช่น K1 หรือ CR1 แทน)
        • ผู้สมัครมีแผนการท่องเที่ยว และการเงินที่ไม่สอดคล้องตามความจริงกับระยะเวลาที่จะเดินทางท่องเที่ยว


        ขั้นตอนในการสมัครวีซ่าชั่วคราว

        ขั้นตอนที่ 1 : เข้าไปที่เว็บไซต์ www.ustraveldocs.com/th

        ศึกษารายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการยื่นคำร้องขอวีซ่าและข้อกำหนดต่างๆ เกี่ยวกับวีซ่าแต่ละประเภท เลือก ประเภทของวีซ่าชั่วคราว ที่หน้าเว็บเพื่อศึกษาข้อมูลของวีซ่าแต่ละประเภท

        ขั้นตอน 2 : กรอกแบบคำร้องขอวีซ่าชั่วคราว (DS-160)

        กรอกแบบคำร้องขอวีซ่าที่ https://ceac.state.gov/genniv และพิมพ์ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160

        ขั้นตอนที่ 3 : สร้างโปรไฟล์ส่วนตัว

        สร้างโปรไฟล์ส่วนตัวบนเว็บไซต์ www.ustraveldocs.com/th กรอกข้อมูลประวัติส่วนตัวให้ครบถ้วน จากนั้นเลือกประเภทและที่อยู่ในการจัดส่งเล่มหนังสือเดินทางคืน

        ขั้นตอนที่ 4 : ชำระค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องขอวีซ่า/การสมัครวีซ่า

        ชำระค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องขอวีซ่าซึ่งขอคืนเงินไม่ได้ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) โดยการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) หรือ ชำระเป็นเงินสดได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา โดยผู้สมัครต้องพิมพ์ใบชำระค่าธรรมเนียม CGI เพื่อนำไปชำระค่าธรรมเนียมที่ธนาคาร

        ขั้นตอนที่ 5 : ทำนัดสัมภาษณ์

        เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ผู้สมัครจะสามารถนัดวันสัมภาษณ์ได้หลัง 12.00 น. ของวันทำการถัดไป (ในกรณีที่ชำระด้วยเงินสด) หรือหลัง 14.00 น. ของอีก 2 วันทำการถัดไป (หากชำระโดยการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์)

        ขั้นตอนที่ 6 : เดินทางมาสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯ 

        ผู้สมัครจะต้องนำใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ใบยืนยันการนัดหมาย หนังสือเดินทาง (ทั้งเล่มเก่าและปัจจุบัน) รูปถ่ายสี ขนาด2×2 พื้นหลังสีขาวที่ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน และเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย

        ขั้นตอนที่ 7 : การส่งคืนเล่มหนังสือเดินทาง

        หากสัมภาษณ์วีซ่าผ่าน ผู้สมัครจะไม่ได้รับวีซ่าทันทีในวันสัมภาษณ์ โดยผู้สมัครจะได้รับเล่มหนังสือเดินทางพร้อมกับวีซ่าโดยการจัดส่งจากทางไปรษณีย์ไทย เมื่อได้รับหนังสือเดินทางแล้ว กรุณาตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล

             ทางสถานทูตฯ ขอเน้นว่า ผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ทุกท่านควรเผื่อเวลาในการยื่นขอวีซ่าล่วงหน้าก่อนการเดินทาง และไม่ควรจองตั๋วเครื่องบินหรือวางแผนการเดินทางใดๆ ที่ยกเลิกไม่ได้ ก่อนที่ท่านจะได้รับหนังสือเดินทางที่มีวีซ่าสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว

        ขั้นตอนการสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา

        1. มาถึงสถานทูตฯ

          – เวลาที่แสดงบนจดหมายนัดคือเวลาที่ควรมาถึงหน้าสถานทูตฯ มิใช่เวลาที่จะได้รับการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่กงสุล

          – ผู้สมัครควรมาถึงก่อนเวลาที่นัดไว้ 15 นาที (ไม่จำเป็นต้องมาก่อนเวลานานเกินไป)
        2. ตรวจสอบความเรียบร้อย และความปลอดภัย

          – ผู้สมัครจะต้องผ่านการตรวจสอบความเรียบร้อยและความปลอดภัย ได้แก่ นำสัมภาระติดตัวผ่านเครื่องสแกน เดินผ่านเครื่องสแกนวัตถุโลหะ ผู้สมัครควรนำแค่สิ่งของที่จำเป็นติดตัวมาในวันที่สัมภาษณ์

          – ผู้สมัครสามารถนำโทรศัพท์มาได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น โดยจะต้องฝากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ ทางสถานทูตฯ และพนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่รับผิดชอบหากเกิดการสูญหายหรือเกิดความเสียหายใดๆ กับโทรศัพท์มือถือของท่านในขณะที่ฝากไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย
        3. นั่งรอเรียกตามเวลานัดสัมภาษณ์ด้านหน้าบูธ

          – ยื่นหนังสือเดินทางให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำบูธ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและคืนหนังสือเดินทางมาพร้อมกับหมายเลขการจัดส่ง (แทร็กกิ้ง) ของไปรษณีย์ไทย
        4. ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลและเอกสาร

          – หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำบูธแล้ว ให้ผู้สมัครเข้าไปยังห้องรับรองการสัมภาษณ์ จากนั้นไปต่อแถวรอติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลและเอกสารที่หน้าต่าง 11-15

          – พิมพ์ลายนิ้วมือทั้งสองข้าง (4 นิ้วมือ ข้างซ้ายและขวา และ 2 นิ้วโป้ง)
        5. ยืนยันลายนิ้วมือ

          – ติดต่อที่หน้าต่าง 10 เพื่อยืนยันลายนิ้วมือ

          – หลังจากยืนยันลายนิ้วมือเรียบร้อย ให้ผู้สมัครไปต่อแถวรอสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่กงสุล

        สถานทูตสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่ไหน?

        สถานทูตสหรัฐอเมริกา กรุงเทพมหานคร

        เลขที่ 95 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

        เนื่องจากทางสถานทูตฯ ไม่มีที่จอดรถให้บริการ ผู้สมัครสามารถเดินทางมายังสถานทูตฯ ได้โดยการใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือ รถไฟฟ้าสถานีที่อยู่ใกล้สถานทูตฯ

        • สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต (ใช้ทางออกที่ 5 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที)


        สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่

             387 ถนนวิชยานนท์ ตำบล ช้างม่อย อำเภอ เมือง เชียงใหม่ 50300

        • อยู่ตรงข้ามเทศบาลเชียงใหม่ ใกล้เจดีย์ขาว ติดริมแม่น้ำปิง

        ข้อมูล :

      • 12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก
        12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก
        longweekend - พฤษภาคม 18, 2021

        ลองนึกภาพถ้าเราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านที่สวยงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ที่แสนวิเศษ แถมบ้านเรือนก็น่ารักราวกับภาพเขียนในนิยาย คงจะฟินน่าดูเลยใช่ไหมคะ แต่ ความคิดนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ในจินตนาการเท่านั้นค่า วันนี้จะพาไปรู้จักกับ 12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก รับรองว่าดีงามจนอยากจะเก็บกระเป๋าตามไปดูให้เห็นกับตาตอนนี้เลยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านมรดกโลก Shirakawago

        หมู่บ้านสุดน่ารักราวกับในนิทานนี้มีชื่อว่า ชิราคาวะโกะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา อยู่ที่จังหวัดกิฟุค่า และยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1995 อีกด้วย วินาทีแรกที่ได้สัมผัสที่นี่ต้องกรี๊ดดดดออกมาเลยค่ะ เพราะหนาวมาก เอ้ยไม่ใช่ เพราะสวยมากต่างหากก ภาพของบ้านทุกหลัง รวมถึงถนนเส้นเล็กๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนสวยงาม โอบล้อมไว้ด้วยภูเขาและป่าสน เหมือนหลุดเข้าไปในโลกนิยายเลยค่ะ หมู่บ้านนี้สร้างมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วค่ะ แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมและรักษาสภาพของหมู่บ้านไว้เป็นอย่างดี มีบ้านทั้งหมดไม่ถึง 200 หลัง ตัวบ้านเป็นสถาปัตยกรรมแบบกัสโซ (Gassho) แปลว่าพนมมือ จุดเด่นอยู่ที่หลังคาลาดชันทำมุมกัน 60 องศา รูปทรงเหมือนกับคนพนมมือขอพรอยู่จริงๆ ค่ะ โดยทำจากหญ้าฟางและไม่ใช่ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้ไม้ขัดกันและใช้เชือกมัดให้แน่นแทน ภายในหมู่บ้านมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และบ้านพักแบบโฮมเสตย์ด้วยนะคะ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนหลายแสนคนต่อปีเลยทีเดียว ถ้าจะมาพักต้องจองกันยาวหน่อยนะจ๊า และอย่าลืมขึ้นไปจุดชมวิวบนเนินเขาซึ่งจะเห็นวิวของหมู่บ้านได้แบบเต็มๆ จุดนี้จะเป็นมุมที่สวยที่สุด ห้ามพลาดเลย ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู ไม่ว่าช่วงไหนก็สวย โดยเฉพาะฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่งดงาม โรแมนติกและชวนฝันฝุดๆ ไฮไลท์เด็ดคือระหว่างเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ในช่วงสุดสัปดาห์ จะมีงานแสดงไฟ Shirakawago Light Up บ้านหลังทุกหลังจะส่องประกายท่ามกลางแสงไฟในฤดูหนาวพร้อมหิมะที่โปรยปราย สวยงามมากกกก ต้องมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งจริงๆ ค่า

        เที่ยวหมู่บ้านดอกไม้อีวัวร์ (Yvoire), ฝรั่งเศส

        อีวัวร์หมู่บ้านดอกไม้อันเก่าแก่ ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสค่า สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง อายุกว่า 700 ปี แต่ยังคงรักษาสภาพสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงประตูเมืองและกำแพงอันเก่าแก่ไว้ได้อย่างดีเลยค่ะ ส่วนมากทำมาจากหินและไม้ โดยตลอดสองข้างทางถนนที่เราเดินจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสประดับตามอาคารบ้านเรือน เห็นแล้วสดชื่นที่ซู้ดดด จนได้ชื่อว่าหมู่บ้านดอกไม้นั่นเองค่า ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ถึงจะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก แต่ขอบอกว่าสวยมากก บรรยากาศเงียบสงบ อากาศดี อยู่ติดทะเลสาบเจนีวาสีฟ้าใส มีทั้งปราสาท โบสถ์ประจำเมือง ป้อมปราการและสวนดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของเล่นไม้ เครื่องปั้นดินเผา สบู่ เทียนหอม และโปสการ์ด โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็เดินทั่วแล้วค่ะ อ้อ แนะนำให้ลองทานพิซซ่าของที่นี่ดูนะคะ เห็นเขาว่ากันว่าเด็ด! เป็นพิซซ่าสไตล์ฝรั่งเศส แป้งบางกรอบ มีหน้าแปลกๆ ที่เราไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน รวมถึงร้านเครปซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของชาวฝรั่งเศสด้วยค่ะ สายกินอย่างเรา แค่นึกก็น้ำลายไหลแว้ววว

        เที่ยวกอลมาร์ หมู่บ้านเทพนิยาย (Colmar), ฝรั่งเศส

        ที่นี่เป็นอีกหมู่บ้านของฝรั่งเศสที่น่ารักและสวยงามไม่แพ้กับหมู่บ้านอีวัวร์ (Yvoire) เลยค่า ตั้งอยู่ในแคว้นอาลซัส (Alsace) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศเยอรมัน จึงได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ ด้วยตัวอาคารบ้านเรือนเป็นแบบ Timber Frame ซึ่งเป็นบ้านสไตล์เยอรมันแท้ๆ และยังคงรักษาความสวยงามแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ จุดเด่นอยู่ตรงที่มีคลองไหลผ่านทั่วเมือง จนได้รับการขนานนามว่า ลิตเติ้ลเวนิสแห่งฝรั่งเศส เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศสวยงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่นจำนวนมาก จึงเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสอีกด้วยค่ะ เราสามารถนั่งเรือชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่ริมสองฝั่งคลอง ตามระเบียงจะประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน สีผนังบ้านก็แจ่มแบบไม่มีใครยอมใคร หรือจะเดินเล่นตามซอยต่างๆ ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ซึ่งแต่ละร้านจะออกแบบป้ายได้น่ารักเก๋ไก๋แตกต่างกันไป เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่น่ารักทุกองศาจริงๆ ค่ะ และยังเป็นสถานที่ที่คู่รักจะมาแต่งงาน ฮันนีมูน และให้คำสัญญาในความรักระหว่างกัน รับรองว่าถ้าใครมีโอกาสได้มาเยือนกอลมาร์ จะต้องตกหลุมรักเมืองเล็กๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโรแมนติกนี้อย่างแน่นอนน

        เที่ยวกีธูร์นหมู่บ้านไร้ถนน (Giethoorn)

        กีธูร์น เป็นหมู่บ้านแห่งสายน้ำอันแสนเงียบสงบ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซโวลเลอ (Zwolle) และสตีนวิก (Steenwijk) ประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ ที่นี่ไม่มีถนน ไม่มีเสียงรถ และใช้เรือในการสัญจรไปมา เรียกได้ว่ามีกันทุกบ้านเลยค่า เพราะมีคลองเล็กๆ ลัดเลาะอยู่รอบหมู่บ้าน บรรยากาศดี ไม่มีมลพิษ เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้บานสะพรั่ง บ้านเรือนก็น่าร้ากก ถูกออกแบบและตกแต่งให้เป็นกระท่อมสไตล์ยุโรปตะวันตกที่แสนน่ารักอบอุ่น มีสะพานไม้เล็กๆ ทรงสวยกว่า 180 สะพาน ไว้เชื่อมระหว่างบ้านเรือนเข้าหากัน มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานโบราณวัตถุมากมาย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และยังมีร้านขายของที่ระลึก อาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ร้านกาแฟสุดชิคที่เสิร์ฟกาแฟหอมๆ จิบไปชมวิวไป ได้ใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ในวันพักผ่อนกับคนรัก เป็นการเติมพลังได้ดีทีเดียวค่า

        เที่ยวหมู่บ้านซาลิพาย (Zalipie), โปแลนด์

        ใครที่ชื่นชอบในงานศิลปะไม่ควรพลาดเลยจ้าา กับซาลิพาย หมู่บ้านแห่งศิลปะที่สวยที่สุดในโปแลนด์! ที่นี่เป็นหมู่บ้านโบราณเล็กๆ ตั้งอยู่ในจังหวัดเลสเซอร์โปแลนด์ (Lesser Poland) ความโดดเด่นอยู่ตรงที่บ้านทุกหลังจะถูกตกแต่งด้วยภาพวาดลายดอกไม้สีสันสวยงาม หรือที่เรียกกันว่า Folk art ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้าน ตามแบบฉบับของชาวโปแลนด์ที่มีมาตั้งแต่โบราณค่ะ โดยก่อนที่จะเป็นภาพวาดตามบ้านแบบนี้ เกิดขึ้นจากในสมัยก่อนใช้เตาถ่านในการทำครัว ทำให้เกิดคราบเขม่าเกาะอยู่ตามฝาผนังและเพดานบ้าน จึงวาดภาพและทาสีปิดรอยเขม่าซะเลยจ้า ไอเดียเก๋กู้ดสุดๆ แถมยังดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้น และยังเป็นการใช้ศิลปะบำบัดและช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กับชาวโปแลนด์หลังจากเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วยค่ะ ปัจจุบันไม่ได้วาดแค่ตัวบ้านเท่านั้นนะคะ แต่โบสถ์ สะพาน ถังขยะ บ่อน้ำ หรือบ้านสุนัขก็วาดจ้า สวยละลานตาไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เลยย~ >,< และในปี ค.ศ.1948 ได้มีการจัดการแข่งขันวาดภาพบนฝาผนัง ที่เรียกกันว่า Malowana Chata เพื่อหาว่าใครจะสามารถวาดภาพและลงสีลวดลายได้สวยที่สุด จนกลายเป็นงานประจำปีของหมู่บ้านแห่งนี้มาถึงปัจจุบัน และ กลายเป็นหมู่บ้านศิลปะที่ดึงดูดใจเหล่านักท่องเที่ยวให้มาเที่ยว ถ่ายรูปกันอย่างไม่ขาดสายเลยค่า

        เที่ยวฮัวคาชิน่า หมู่บ้านกลางทะเลทราย (Huacachina) เปรู

        ฮั่นแน่ สงสัยกันใช่ไหมคะว่า กลางทะเลทรายอันแห้งแล้งจะมีหมู่บ้านอยู่ได้ยังไง จะบอกว่ามีจริงๆ ค่าา ที่นี่คือฮัวคาชิน่า เมืองโอเอซิสกลางทะเลทราย อยู่ในภูมิภาคไอคา (Ica) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเปรูค่ะ ถูกสร้างขึ้นรอบทะเลสาบธรรมชาติชื่อ Oasis of America โดยคนท้องถิ่นเชื่อกันว่า ถ้าได้ลงไปแช่และอาบน้ำในบ่อนี้จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีคุณสมบัติในการบำบัดโรคได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าอีกด้วยค่ะ ปัจจุบันหมู่บ้านฮัวคาชิน่าเป็นเหมือนสวรรค์กลางทะเลทรายของนักท่องเที่ยวและเหล่าเศรษฐีทั้งหลายที่นิยมมาพักผ่อนกัน กิจกรรมยอดนิยมก็คือ สกีทราย (Sandboarding) เป็นการสไลด์บอร์ดลงเนินทรายด้วยความสูงหลายร้อยฟุต, Buggying ขับรถบนเนินทราย ซึ่งรับรองว่าเสียวไปยันไส้แน่นอนจ้า รวมไปถึงล่องเรือชิลๆ ในทะเลสาบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร และบาร์ต่างๆ ไว้ให้บริการ แนะนำให้มาช่วงฤดูหนาวนะคะ คือเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม จะเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวหรือ High Season ในตอนกลางคืนจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟท่ามกลางความหนาว สวยงามโรแมนติกมากกก จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติโดยสถาบันวัฒนธรรมแห่งชาติด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen), สวิตเซอร์แลนด์

        เลาเทอร์บรุนเนิน หมู่บ้านในเทพนิยาย อยู่ในรัฐเบิร์น (Bern) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ค่า เป็นเมืองเล็กๆ ในเขตหุบเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ใช้เป็นทางผ่านไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในแถบเทือกเขาแอลป์ และยังเป็นหนึ่งในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วยค่ะ ที่นี่มีทัศนียภาพงดงามมากกก ใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ เป็นวิวภูเขาสลับกับทุ่งหญ้าอัลไพน์ หลังบ้านชนภูเขา เด็ดสุดคือมีน้ำตกอยู่กลางหมู่บ้านกันเลยค่า โดยชื่อ Lauterbrunnen นี้แปลว่า Many fountains แค่ชื่อก็บอกแล้วว่ามีน้ำตกเยอะมากจริงๆ เพราะมีถึง 72 แห่งด้วยกัน และมีน้ำตกที่สูงที่สุดในยุโรปอยู่ด้วย คือน้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach Falls) ที่พุ่งดิ่งลงมาจากหน้าผาเกือบ 300 เมตร! แบบม้วนเดียวจบ เป็นภาพที่งดงามมากๆ จนได้ถูกพิมพ์ลงในแสตมป์ของสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อีกด้วยค่า

          เที่ยวหมู่บ้านอัลพ์บัช (Alpbach)

        หมู่บ้านสวยๆ ไม่ได้มีอยู่แค่ในโปสการ์ดนะจ๊าาา แต่อยู่ที่หมู่บ้านอัลพ์บัช ณ รัฐทิโรล (Tirol) ตั้งอยู่บนที่ราบสูง เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในออสเตรีย และเป็นหมู่บ้านแห่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในยุโรปอีกด้วยค่า เมื่อมาถึงจะต้องตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของธรรมชาติ บ้านเรือนน่ารักๆ ท่ามกลางหุบเขา ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มไกลสุดลูกหูลูกตา และดอกไม้สีสันสดใสมากมาย อากาศก็ดี๊ดี อยากจะเก็บใส่ถุงกลับมาสูดต่อที่บ้านจังเลยย การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติขนาดนี้มันรู้สึกสดชื่นสุดๆ เลยค่า >3< เหมาะแก่การมาเที่ยวเล่นพักผ่อนในวันหยุด มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งปั่นจักรยาน เดินป่า เดินเขา จิบไวน์ ชมวิวหรือจะมาฮันนีมูนก็โรแมนติกฟินๆ ไม่น้อย อิอิ หรือถ้ามาในช่วงฤดูหนาว ในหมู่บ้านยังมีวินเทอร์ วิลเลจ (Winter Village) ไว้สำหรับเล่นสกีและกิจกรรมฤดูหนาวอื่นอีกด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านชนบทคอทส์โวลส์ (The Cotswolds), อังกฤษ

        คอทส์โวลส์ เมืองวินเทจสุดน่ารักตะมุตะมิ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทัศนียภาพ และบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ หันไปก็เจอเนินเขา ทุ่งหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ แม่น้ำสายเล็กๆ และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่นี่อย่าง หมู่บ้านหินสีน้ำผึ้ง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 และยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ได้ดีเยี่ยม รวมถึงอาคารบ้านเรือนต่างๆ ร้านขายของวินเทจทั้งหลาย ร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์ชนบท และผู้คนที่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในยุคเก่าของอังกฤษเมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยค่า

        เที่ยวชิงเคว เทเร หมู่บ้านริมผาทั้ง 5 (Cinque Terre), อิตาลี

        หมู่บ้านริมผาทั้ง 5 เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงเหนือทะเล ในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) ก่อตั้งมานานกว่า 1,300 ปี มีความอุดมสมบูรณ์มากไม่ว่าจะเป็น ทะเล หาดทราย ภูเขา เนื่องจากเป็นเขตที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก้อีกด้วยค่า Cinque Terre แปลว่า 5 แผ่นดินหรือแผ่นดินทั้ง 5 โดยประกอบด้วยเมืองยิบย่อย 5 เมือง ได้แก่ เมืองมอนเตเรสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare), เมืองเวอร์นัสซา (Vernazza) , เมืองคอร์นิเลีย (Corniglia), เมืองมานาโรลา (Manarola) และเมืองริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore) ซึ่งกว่าจะสร้างทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะ ผู้คนพยายามสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากเป็นเวลาหลายร้อยปี เพราะต้องคอยระวังหน้าผาที่ทั้งขรุขระและสูงชัน แต่ในปัจจุบันสามารถเดินทางได้ง่ายและสะดวกมากค่ะ โดยมีทางเดินเท้า ทางรถไฟและเรือที่เชื่อมกันไปมาระหว่างหมู่บ้าน เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือ ตึกรามบ้านช่องสีสันสดใสอยู่บนหน้าผาริมทะเล เป็นภาพที่สวยงามมากกก มีร้านค้า ร้านอาหารให้นั่งชมวิวริมทะเลเพลินๆ รวมถึงไร่องุ่น โรงผลิตไวน์ และหมู่บ้านทำขนมปัง ส่วนใครที่ชอบถ่ายรูปก็ไม่มีผิดหวังจ้า มีมุมสวยๆ และวิวแจ่มๆ ให้ได้ภาพกลับไปเพียบแน่นอนน

        เที่ยวกอร์ด หมู่บ้านสวยในเขตโพรวองซ์ (Gordes), ฝรั่งเศส

        เมืองกอร์ด (Gordes) ตั้งอยู่บนยอดเขาในแถบเทือกเขาลูเบอรอง (Luberon) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโพรวองซ์ค่า โดยมีพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร มีเมืองเล็กเมืองน้อยตั้งอยู่บนหน้าผาและสร้างลดหลั่นเรียงตัวกันตามแนวเขา บ้านเรือนมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นสไตล์หินๆ แปลกตาดีค่ะ เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวของทุ่งหญ้าเขียวๆ ทุ่งลาเวนเดอร์ และพื้นที่ทางเกษตรกรรมกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในตัวเมืองมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันมากมาย ร้านขายยาก็มีนะคะ นอกจากได้เดินชมอาคารบ้านเรือนแล้ว ยังมีปราสาทหินโบราณ (château de Gordes) ซึ่งสร้างขึ้นในแบบสไตล์เรเนสซองให้ได้ชมความอลังการกันอีกด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านเอซ (Eze Village), ฝรั่งเศส

        หมู่บ้านเอซ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อันเก่าแก่ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 429 เมตร ริมชายฝั่งริเวียร่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสค่ะ แต่เดิมเมื่อราว 2 พันปีก่อน เป็นที่พักของเหล่าคนป่า ต่อมาได้ถูกครอบครองโดยชาวโรมันและได้สร้างป้อมปราการอยู่บนภูเขาเพื่อให้มองเห็นข้าศึกได้แต่ไกลนั่นเองค่ะ เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่บนยอดเขา และรถไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกเราสายสตรองก็ต้องเดินขึ้นไปค่าา ถึงจะมีหยุดพักหายใจเป็นระยะๆ แต่ขอเลยว่าคุ้มค่ามาก! เสน่ห์ของที่นี่คือ มีบรรยากาศและบ้านเรือนที่น่ารักสวยงาม แม้จะมีการปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แต่ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ในอดีตไว้อยู่ ตัวตึกส่วนใหญ่เป็นหินฉาบแบบหยาบๆทาสีขาว สีเหลืองหรือชมพูอ่อนๆ พาสเทลฝุดๆ มีมุมน่ารักเก๋ไก๋อยู่ทั่วทั้งเมือง จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศสด้วยค่า ตามทางเดินถึงจะแคบแต่ก็มีความเป็นระเบียบ ไม่มีสายไฟรกรุงรังเลยค่ะ สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้ตลอดทาง โดยลักษณะพื้นเป็นหินก้อนๆ และกระเบื้องสีแดง เค้าบอกว่าตรงกระเบื้องสีแดงเนี่ย ไม่ได้แค่เพื่อความสวยงามนะคะ แต่กันลื่นได้ด้วย นอกจากบ้านเรือนแล้ว ทั้งสองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยร้านค้า มีของให้เลือกซื้อมากมาย มีสวน Le Jardin Exotique ที่รวบรวมพืชจำพวกกระบองเพชรแบบต่างๆ ไว้ แต่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมนะคะ และถ้าใครต้องการชมวิวจากมุมสูง ก็สามารถเดินลัดเลาะไปชมวิวยังบริเวณโบสถ์ของเมืองได้ค่า ได้วิวจากยอดเขาเลย เรียกได้ว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเห็นเสน่ห์ของหมู่บ้านแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ธรรมชาติอยู่คู่กับบ้านเมืองได้อย่างลงตัว อากาศก็ดีตลอดปี สดชื่นนนมาก ดีงามมมมเว่อร์จ้า

        ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลและภาพประกอบ

        เครดิต: https://www.yingpook.com/blogs/world/top-12-most-beautiful-villages-of-the-world

      • 11 สถานที่ท่องเที่ยวสายธรรมชาติ จังหวัดพิษณุโลก ที่สุดว้าว สุดปัง
        11 สถานที่ท่องเที่ยวสายธรรมชาติ จังหวัดพิษณุโลก ที่สุดว้าว สุดปัง
        longweekend - พฤษภาคม 14, 2021

        พิษณุโลก จังหวัดเมืองรองน่าเที่ยวที่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยและได้ยินชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน แท้จริงแล้วจังหวัดนี้มากมายทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตที่สวยงาม รวมถึงธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ที่ไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ วันนี้ก็ถึงตาเราที่จะมารวบรวมและแนะนำกับ 11 จุดเช็คอินที่เที่ยวพิษณุโลก จัดมาแบบครบทุกอารมณ์ ทั้งสายชิค สายชิล ที่บอกเลยว่าไม่ควรพลาด เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วตามไปเที่ยวกันเลย

        1. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง

        อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เป็นที่ตั้งของ “ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย” ที่เราเคยเรียนในวิชาภูมิศาสตร์ และด้วยอาณาเขตกว้างใหญ่กว่า 16 ตารางกิโลเมตร ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามและเป็นที่เที่ยวธรรมชาติพิษณุโลกที่อุดมสมบรูณ์ที่สุด ให้บรรยากาศไม่แพ้ทุ่งหญ้าในทวีปยุโรปเลยทีเดียว ดังนั้นกิจกรรมสำคัญที่เราอยากแนะนำให้คุณมาทำ ณ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็คือการเดินชมวิว 2 ข้างทาง หรือจะเลือกปั่นจักรยานชมธรรมชาติก็ได้ และแน่นอนว่ากิจกรรมเหมาะกับช่วงฤดูหนาวอย่างมาก

        2. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

        หนึ่งพื้นที่สีเขียวบรรยากาศดี ที่ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก มีพื้นที่กว่า 191,875 ไร่ ลานหินแตกและลานหินปุ่ม เป็นสถานที่หนึ่งเดียวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์เป็นพิเศษบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีผาชูธงเป็นจุดชมวิว และมีน้ำตกให้เยี่ยมชมอีกหลายแห่ง ในบรรยากาศอุณหภูมิต่ำสุดเพียงเลขตัวเดียวในหน้าหนาว หากใครชื่นชอบกางเต็นท์ท้าทายความหนาวเย็น หรือสายแบ็คแพ็คต้องห้ามพลาดแวะมานอนสถานที่แห่งนี้ โดยอย่าลืมเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับนอนเต็นท์ จัดกระเป๋าเดินทางมาให้เรียบร้อยละ อย่างแบรนด์ the north face แบรนด์ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันในแวดวงนักปีนเขา นักเดินป่า และคนที่ชื่นชอบกิจกรรมขาลุยต้องมี!

        3.บ้านมุง เนินมะปราง

        เป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดพิษณุโลกที่สวยไม่แพ้ เมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนเลยล่ะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ มีลักษณะ เหมือนกุ้ยหลิน ซึ่งจุดถ่ายรูปสวยๆ นี้จะตั้งอยู่ในบ้านมุง  ซึ่งเป็นชุมชนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของขุนเขาและทุ่งนาสีเขียวขจี  กิจกรรมแนะนำคือการมานั่งรถอีแต๊ก ชมวิวทิวทัศน์ของบ้านมุง และเที่ยวถ้ำมากมาย ซึ่งในตอนเย็นเราจะเห็นฝูงค้างคาวที่บินกลับถ้ำอีกด้วย

        4. บ้านชมวิวรีสอร์ท

        และหากขับต่อจากบ้านมุงขึ้นไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวจะได้พบกับบ้านชมวิวรีสอร์ท จุดชมวิวสำคัญของเมืองพิษณุโลกที่สามารถมองเห็นอาณาเขตทั้ง 5 จังหวัด คือพิษณุโลก เพชรบรูณ์ พิจิตร อุตรดิตถ์และนครสวรรค์ นอกจากนี้ท่านยังจะได้นั่งแกว่งชิงช้าใต้ต้นไม้รูปหัวใจขนาดใหญ่ พร้อมชมวิวสวย ๆ แบบเต็ม ๆ ตา กลายเป็นจุดเช็คอินสำคัญที่สายโซเชียลไม่ควรพลาด

        5.ลำน้ำเข็ก

        ถ้าคุณอยากสัมผัสความแอดเวนเจอร์  ที่นี่เป็นสถานที่ล่องแก่งที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย โดยในฤดูฝนน้ำในลำน้ำเข็กจะขยับสูงขึ้นและมีการไหลคดเคี้ยวเกิดเป็นเกาะแก่ง ไล่ระดับความตื่นเต้น นักท่องเที่ยวจะได้ร่วมสนุกกับการล่องแก่งสุดมันส์ตลอดระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว  ซึ่งช่วงเวลาในการล่องแก่งลำน้ำเข็กคือช่วงฤดูฝน เดือนมิถุนายน – เดือนตุลาคม โดยใช้ระยะทางในการล่องแก่งประมาณ 8 กิโลเมตร

        6.น้ำตกหมันแดง

        อีกหนึ่งความงามของภูหินร่องกล้า ในช่วงฤดูฝนราวๆ เดือนสิงหาคม เราจะพบกล้วยไม้ลิ้นมังกรสีชมพู และบิโกเนียสีขาว ขึ้นอยู่บริเวณน้ำตกชั้นที่ 5 ทั้งนี้ทั้งนั้น การเข้าถึงน้ำตกหมันแดง ถือว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทางที่ค่อนข้างลื่น บวกกับดงทากนับพันสุด เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ๆ ต้องเตรียมตัววางแผนไปให้พร้อม เพราะรางวัลรอคุณอยู่ที่ปลายทาง เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คุณจะลืมความเหนื่อยจนหมดสิ้น จะมีแต่ความประทับใจไม่รู้ลืม

        7.น้ำตกแก่งโสภา

        ไนแองการ่าเมืองไทย เหมือนไปทวีปอเมริกาเหนือ ที่น้ำตกแก่งโสภา เดิมทีชื่อ น้ำตกแก่งชั้นไดยาน หรือ บันไดยาน จัดเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีความสูงราว 40 เมตร ด้านบนมีลักษณะเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่วางขวางอยู่กลางทางน้ำ ด้านล่างมีโขดหินขนาดย่อมกระจายตัวอยู่ทั่วไป  ในช่วงฤดูน้ำหลากนั้น สายน้ำตกแห่งนี้ค่อนข้างไหลเชี่ยวกรากจนไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ ส่วนในช่วงฤดูแล้งที่มีน้ำน้อย จะมองเห็นน้ำตกหลั่งไหลตามชั้นหินต่างๆ 3 ชั้น อย่างชัดเจน ให้เราได้สัมผัสความสดชื่นกันเต็มที่

        8.น้ำตกชาติตระการ

        น้ำตกชาติตระการ มีชื่อเรียกตามชาวบ้านว่า น้ำตกปากรอง มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามต่างกันออกไป ซึ่งตั้งชื่อตามนามธิดาท้าวสามลในวรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทอง โดยเฉพาะชั้นที่3 และ4 น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ10 เมตร แผ่เป็นฝอยกระจายไปทั่ว ชั้นแอ่งใหญ่ที่สุด คือชั้น 1 นักท่องเที่ยวนิยมลงเล่นน้ำที่ชั้นนี้

        9.สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า

        พิษณุโลก ในพระราชดำริ เราสามารถมองเห็นดาวเต็มฟ้ายามค่ำคืน ตื่นเช้ามาพบสายหมอกลอยละล่องท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี และพบกับจุดชมทิวทัศน์มุมกว้างที่งดงามแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก  ถูกจัดตั้งเป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้นานาชนิดที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งกล้วยไม้ และไม้ดอกที่มีกลิ่นหอม เป็นศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์พืช โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนตุลาคมเป็นต้นไป จะมีต้นกุหลาบพันปีที่หาชมได้ยาก และต้นค้ออายุร้อยปี ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวค้อเดียวดาย มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้เคียงได้อย่าง น้ำตกชาติตระการ น้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย

        10.แก่งไฮ

        มาคลายร้อนต่อกันต่อกับจุดเช็คอินเย็นๆ ทะเลของพิษณุโลก แก่งไฮ ที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยป่าสีเขียว เนื้อที่หลายร้อยไร่ บรรยากาศดีเย็นสบายไม่แพ้ที่ไหน ภายในมากมายด้วยแพไม้ไผ่ให้นั่งชิลล์ สั่งอาหารมากิน มีทั้งอาหารไทย อาหารอีสานรสแซ่บ  ซึ่งความพิเศษของที่นี่คือ จะมีบริการพาล่องไปกลางน้ำ ให้เล่นพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัว บอกเลยว่าถูกใจคนทั้งครอบครัวอย่างแน่นอน

        11.สวนบัวอมรรัตน์

        มาอันซีนกันต่อแบบว้าวๆ กับที่เที่ยวผ่อยคลายสไตล์กรีนๆ สวนบัวอมรรัตน์ ที่นี่เป็นสวนบัวขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไวด้วยธรรมชาติสีเขียวในทุกทิศทาง มีบัวสีสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ ให้ชมศึกษา และสามารถซื้อกลับไปปลูกที่บ้านได้ ซึ่งความพิเศษของที่นี่ที่เป็นจุดขายนั่นก็คือ บัวกระด้ง หรือบัว วิกตอเรีย ที่บานใหญ่กว่า 1-2 เมตร และมีให้ชมกันถึงสองบ่อ แถมยังสามารถลงไปยืนโพสต์รูปแบบอลังการ รองรับน้ำหนักได้ถึงร้อยกิโลกรัม ที่สำคัญยังสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เรียกว่าได้ทั้งความสุข ความรู้ กลับไป

         เป็นยังไงกันบ้างสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสุดปังแห่งพิษณุโลกที่นำมาฝากกัน ธรรมชาติดีๆสวยๆแบบนี้สามารถฮีลเราในวันที่แย่ๆได้นะ หาเวลาพักผ่อนและออกไปเดินทางกันบ้างก็ดีไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ปังกว่านั้นอย่าลืมถ่ายรูปสวยๆพร้อมลงแคปชั่นเที่ยว เปรี้ยวๆเก๋ ให้เพื่อนๆอิจฉาไปเลย

        อ้างอิง https://www.chillpainai.com/scoop/10070/
        https://travel.mthai.com/region/186076.html
        https://www.tripgether.com/อัปเดตเรื่องเที่ยว/10-จุดเช็คอินน่าเที่ยวพิษณุโลก-มีครบทุกอารมณ์-อีกหนึ่งจังหวัดเมืองรองที่ไม่ควรพลาด/http://unseentourthailand.com/2021/03/16/11phitsanulok/

        เครดิตภาพ
        ปก https://unsplash.com/photos/F8FiXqkODN4

        อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
        https://www.khaokho.com/17229691/ทุ่งแสลงหลวง

        อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
        https://travel.mthai.com/region/208568.html

        บ้านมุง https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/81252

        บ้านชมวิวรีสอร์ท
        https://www.tripgether.com/อัปเดตเรื่องเที่ยว/5-ที่พักเนินมะปราง-พิษณุโลก-จุดเช็คอินฟินทะเลหมอกหน้าฝน/

        ลำน้ำเข็ก
        https://mgronline.com/travel/detail/9620000059909

        น้ำตกหมันแดง
        https://www.thairath.co.th/news/local/north/1044777

        น้ำตกแก่งโสภา
        https://thai.tourismthailand.org/Attraction/น้ำตกแก่งโสภา

        น้ำตกชาติตระการ https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/3622

        สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า https://mgronline.com/travel/detail/9570000091289

        แก่งไฮ
        https://www.thetrippacker.com/th/review/นครไทยวัดโบถส์พิษณุโลก/11151

        สวนบัวอมรรัตน์
        https://th.readme.me/p/21419

      • 10 ที่เที่ยวแคนาดา สวยติดอันดับต้น ๆ ของโลก
        10 ที่เที่ยวแคนาดา สวยติดอันดับต้น ๆ ของโลก
        longweekend - พฤษภาคม 13, 2021

        ประเทศแคนาดา เป็นประเทศอันกว้างใหญ่นี้มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายแบบ ซึ่งที่เที่ยวของแคนาดาแต่ละที่ก็ล้วนแต่ติดอันดับต้น ๆ ที่เที่ยวที่สวยที่สุดในโลกทั้งนั้น หากใครกำลังมองหาที่เที่ยวต่างประเทศที่คุ้มค่าต่อการไปเยือนอยู่ บอกเลยว่าการไปเที่ยวแคนาดาสักครั้งจะทำให้คุณได้ทั้งความประทับใจและนอนตายตาหลับ วันนี้เราจึงได้รวบรวม 10 ที่เที่ยวแคนาดามาฝากกันค่ะ จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปดูกัน

        1.เทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountains)

        Rocky Mountains เป็นเทือกเขาที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่มากที่สุดในประเทศแคนาดา ช่วงฤดูร้อนของประเทศแคนาดา กิจกรรมการท่องเที่ยวในแถบเทือกเขาสูงจะมีความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่เป็นมรดกโลกอย่างเทือกเขาร็อกกี้ จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) และอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ซึ่งมีเส้นทางขับรถชมยอดเขาที่สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะบนเส้นทาง Icefields Parkway และ Trans-Canada Highway ช่วงเมือง Jasper

        2. อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park)

        อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดา ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1885 อยู่ในเขตเทือกเขา Rocky Mountain ภายในอุทยานมีธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อุทยานมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีน้ำพุร้อน มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และสัตว์ต่างๆ เช่น อินทรีย์สีทอง หมีกริซซ์ลี และ หมีดำ กวางมูส แพะภูเขา ทะเลสาบก็ไม่น้อยหน้า มีความงดงามติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว จึงทำให้อุทยานแห่งชาติแบมฟ์มีสมญานามว่า “อัญมณีแห่งเทือกเขาร็อกกี้”

        3. Lake Louise

        Lake Louise ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) มีลักษณะเป็นทะเลสาบสีฟ้าเขียวมรกตสวยใส รายล้อมไปด้วยเทือกเขาสีเขียวสูงใหญ่ ที่เราจะสามารถมองเห็นหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาประปราย เป็นทัศนียภาพที่งดงามมาก ๆ เหมือนกับดินแดนในเทพนิยายเลยเชียว

        4. Columbia Icefield

        Columbia Icefield เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในเทือกเขา Canadian Rocky ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่อของรัฐบริติชโคลัมเบีย และรัฐแอลเบอร์ตา โดยแผ่นน้ำแข็งนี้วางตัวทอดยาวอยู่ทางด้านใต้ของอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) และทางด้านเหนือของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) มีพื้นที่ทั้งหมดราว ๆ 325 ตารางกิโลเมตร Columbia Icefields เป็นธารน้ำแข็งที่พิเศษ เพราะมีความลึกถึง 1,000 เมตร แม้กระทั่งหน้าร้อน ธารน้ำแข็งก็จะไม่ละลาย กิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่ คือคุณสามารถเดินบนลานน้ำแข็งแห่งนี้ได้ราวกับเป็นพื้นถนน พร้อมถ่ายภาพสวยๆ เป็นที่ระลึก หรือจะขึ้นไปชมนิทรรศการเกี่ยวกับ Glacier ภายใน Icefield Center นักท่องเที่ยวก็สามารถนั่งรถขับเคลื่อนหกล้อขนาดใหญ่เพื่อเข้าไปถ่ายรูปกลาง Icefields ได้เลย

        5. สแตนลีย์ ปาร์ค (Stanley Park) และเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver)

        สแตนลีย์ ปาร์ค สวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ดาวน์ทาวน์เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนเมืองนี้จะต้องแวะไปเที่ยวชม เพราะสวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ราว ๆ 400 เฮกตาร์ จึงเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายแบบทั้งป่าเขาและชายหาด มีจุดชมวิวเมืองแวนคูเวอร์ที่สวยงาม มีเส้นทางปั่นจักรยานสุดชิล มีร้านอาหารทะเลพร้อมวิวสวยปังของอ่าวและเมืองแวนคูเวอร์ให้ได้ไปสัมผัส อีกทั้งยังมีพื้นที่กิจกรรมให้เลือกทำอย่างครบรส

        เมืองแวนคูเวอร์ เป็นเมืองที่เจริญมากที่สุดเมืองหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม โดยเฉพาะชาวเอเชีย เมื่อวัฒนธรรมแบบเอเชีย หล่อหลอมรวมกับสภาพอากาศที่อบอุ่นของเมืองแวนคูเวอร์ ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเลยล่ะ สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเยือนแวนคูเวอร์ อาทิ Capilano Suspension Bridge, Vancouver Lookout, Yaletown, Steam Clock in Gas Town, Dr. Sun Yat-Sen Classical Chinese Garden, Science World, Grouse Mountain, English Bay, Queen Elizabeth Park, Lynn Canyon Suspension Bridge เป็นต้น

        6. The Butchart Gardens

        ถ้าถามหาสวนดอกไม้ที่สวยงามมากที่สุดในโลก เชื่อได้เลยว่าจะต้องมีชื่อของ The Butchart Gardens เมือง Brentwood Bay รัฐบริติชโคลัมเบีย รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่มีประวัติยาวนาน ภายในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี ซึ่งจะมีการแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดสวนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อาทิ Sunken Garden, Rose Garden, Concert Lawn Walk, Japanese Garden, Italian Garden และ Mediterranean Garden นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนยังเหมาะแก่การสัมผัสประสบการณ์พิเศษอย่าง English Tradition of Afternoon Tea ที่นี่อีกด้วย

        7.น้ำตกไนแอการา (Naigara Falls)

        น้ำตกไนแอการา (Niagara Falls) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ซึ่งน้ำตกแห่งนี้จะประกอบด้วย 3 น้ำตกด้วยกัน คือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls) อยู่ทางฝั่งแคนาดา, น้ำตกอเมริกา (American Falls) อยู่ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา และน้ำตก Bridal Veil อยู่ทางฝั่งอเมริกาเช่นกัน

        ซึ่งถ้าอยากเห็นน้ำตกทั้ง 3 แห่งในมุมสูง สามารถที่จะขึ้นหอคอยชมวิวได้จากทางฝั่งแคนาดา และทางฝั่งนี้ยังสามารถมองเห็นน้ำตกไนแอการาในวิวพาโนรามาได้แบบสวยสุด ๆ อีกด้วย หากใครมาเที่ยวชมในช่วงหน้าหนาว ก็จะเห็นน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง ยามค่ำคืนจะมีการแสดงแสงไฟอร่ามตาไปที่น้ำตก ถือได้ว่าที่นี่เป็น The Must ของแคนาดา

        8. เมืองวิกตอเรีย (Victoria)

        เมืองวิกตอเรีย ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา อยู่บนเกาะแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เป็นเมืองท่าสุดเก่าแก่และมีความสวยงามมาก ๆ อีกแห่งหนึ่ง เป็นเมืองประวัติศาสตร์ เพราะเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองหลวงของแคนาดาในช่วงปี ค.ศ. 1871 และเป็นเมืองที่ที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดในประเทศ และมีวันที่อากาศแจ่มใสบ่อยกว่าเมืองแวนคูเวอร์บนแผ่นดินใหญ่ ในเมืองที่อากาศดีเช่นนี้ คุณจะสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีให้เลือกมากมายในวิกตอเรียได้สบายๆ

        สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของเมืองวิกตอเรีย อาทิ Craigdarroch Castle Historic House Museum, Whale Watching Tours, Hatley Park National Historic Site, Abkhazi Garden, Fort Rodd Hill & Fisgard Lighthouse, Bastion Square, Fairmont Empress,


        9. เมืองควิเบก (Quebec City)

        เมืองควิเบก เป็นเมืองเอกของรัฐควิเบก ที่นี่ได้ฉายาว่ายุโรปแห่งอเมริกาเหนือ เพราะอาคารบ้านเรือนจะมีลักษณะศิลปะแบบยุโรปเสียส่วนใหญ่ เป็นเมืองที่มีอากาศหนาวตลอดทั้งปี และผู้คนส่วนมากจะพูดภาษาฝรั่งเศส จึงทำให้บรรยากาศของเมืองควิเบกคล้ายคลึงกับยุโรปเลยทีเดียว และนั่นจึงทำให้ที่นี่เป็นเมืองที่โรแมนติกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

        สถานที่ท่องเที่ยวควิเบกที่ห้ามพลาด อาทิ  Chateau Frontenac, Musee de la Civilisation, Citadelle of Quebec,  Parliament Hill, Notre Dame de Quebec, Ramparts of Quebec City, Plains of Abraham

        10. เมืองเยลโลไนฟ์ (Yellowknife)

        เมืองเยลโลไนฟ์ (Yellowknife) ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของประเทศแคนาดา ติดกับทะเลสาบ Great Slave Lake ในนอร์ทเวสต์เทอร์ริทอรีส์ (Northwest Territories) มีลักษณะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ และแน่นอนว่าเมืองเยลโลไนฟ์จะต้องมีอากาศที่หนาวเย็นมาก โดยเฉพาะหน้าหนาวที่บางปีอากาศจะติดลบลงไปถึง -50 องศาเซลเซียส บอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ชมแสงเหนือ (Aurora) ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในหน้าหนาวนักท่องเที่ยวจะแห่มาเยือนที่นี่กันมากมาย เพื่อชมความสวยงามของแสงเต้นระบำบนฟากฟ้า ใครอยากมีประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร อย่าได้พลาดเมืองนี้ไปเป็นอันขาด

        ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของที่เที่ยวแคนาดาเท่านั้น ประเทศทางตอนเหนือของอเมริกาเหนือแห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเด็ด ๆ ให้ไปค้นหากันอีกเพียบ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น คงต้องแพ็กกระเป๋าออกสำรวจด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า 🙂

      • 18 แหล่ง Unseen ในไต้หวัน ถ่ายรูปก็ว้าว เห็นด้วยตาเปล่าก็ฟิน!
        18 แหล่ง Unseen ในไต้หวัน ถ่ายรูปก็ว้าว เห็นด้วยตาเปล่าก็ฟิน!
        longweekend - พฤษภาคม 12, 2021

        1. Liushishi Mountain

        บอกได้เลยว่านี่คือสวรรค์บนดินที่แท้ทรู! เพราะเป็นเนินเขาสูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างใหญ่ และทั้งหมดปกคลุมไปด้วยลิลลี่ป่าสีส้มอมเหลืองที่ชูช่อเบ่งบานชนิดตระการตา ตัดกับสีเขียวของพื้นหญ้าที่อยู่ด้านล่างแบบสุดสดใส ซึ่งวิวนี้จะพีคมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนของทุกปี บริเวณนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน Zhutian เมือง Fuli ในมณฑล Hualien และทิวทัศน์จะเปลี่ยนไปในแต่ละฤดู อยากรู้ว่าสวยแค่ไหน ต้องไปโดน!

        2. Weathering Ring

        ชั้นหินแสนสวยสุดอัศจรรย์แห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตอุทยาน Yehliu ซึ่งในส่วนของบริเวณหน้าหาดในอุทยานแห่งนี้เกิดจากการที่มีตะกอนหินทับซ้อนกันมาเป็นเวลาเนิ่นนาน จนเกิดลวดลายสีน้ำตาลอ่อนและเข้มสลับชั้นกันอย่างสวยงามแปลกตาราวกับว่าเป็นชิ้นงานศิลปะชั้นดี และนอกเหนือจากความสวยงามของลวดลายชั้นหินในบริเวณนี้แล้ว ไม่ไกลกันนักยังเต็มไปด้วยหินสวยงามรูปร่างแปลกตาที่เกิดขึ้นจากฝีมือของธรรมชาติอีกมากมาย ยังไงก็เตรียมเมมกล้องไปส่องมุมไว้ถ่ายรูปเจ๋งๆ มาโพสต์อวดชาวบ้านให้พอก็แล้วกัน

        รูปจาก http://gotaiwan.sg/en/taipei/place-of-interest/laomei-green-reef/

        3. Laomei Green Reef

        ชายหาดหินสีเขียวที่ให้ความรู้สึกสวยงามแปลกตาแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขต Shimen ในกรุงไทเป บริเวณพื้นที่ที่เป็นส่วนเหนือสุดของไต้หวัน โดยลานหินซึ่งอยู่ติดกับผืนน้ำทะเลแห่งนี้สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ Datun เมื่อหลายร้อยปีก่อน และเกิดเป็นลาวาไหลลงมายังทะเล ต่อมาลาวาเหล่านั้นแข็งตัวจนกลายเป็นลานหินขนาดใหญ่ในรูปร่างแปลกตา เนื่องจากการกัดเซาะของคลื่นและน้ำทะเล ซึ่งจะเกิดความสเปเชียลยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมของทุกปี เพราะจะเป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมลงตัวเหมาะเจาะพอดีกับการที่สาหร่ายสีเขียวสดจะสามารถเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาได้ และด้วยเหตุผลทั้งหมดที่บอกมา จึงทำให้เราได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาและน่าสนใจแบบนี้ยังไงล่ะคุณ

        4. Baitou Cape Hiking Trail

        นี่คือเส้นทางเดินบนสันเขาที่เลาะเลียบชายทะเล ซึ่งว่ากันว่าวิวระหว่างเส้นทางนั้นสวยขั้นเทพเลยเชียวคุณ และแม้ว่าที่นี่จะอยู่ไม่ไกลจากเมือง Ruifang ใน New Taipei และห่างจากแหล่งท่องเที่ยวยืนหนึ่งของไต้หวันอย่างจิ่วเฟิ่นมาไม่ไกล แต่เชื่อมั้ยว่าบรรยากาศมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง บนเส้นทางเดินเขาแห่งนี้ไม่มีผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย คุณจึงได้เดินไปชมวิวไปแบบสงบและสุดชิลล์ แม้เส้นทางเดินจะเรียกว่าค่อนข้างไกลสำหรับใครที่ไม่ชอบเดิน แต่เชื่อเถอะว่ามันคุ้มเหลือเกินจริงๆ เพราะนอกจากวิวจะสวยน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เส้นทางเดินยังทำได้ค่อนข้างดี แฮปปี้คุ้มเหนื่อย เชื่อเรา

        5. Queen’s Head

        เรียกว่านี่คือหินสุดมหัศจรรย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพื้นที่ของอุทยาน Yehliu ซึ่งเต็มไปด้วยหินรูปร่างลักษณะแปลกตานานารูปแบบ โดยคุณอาจจะต้องใช้เวลาเดินชมกว่าครึ่งวันถึงจะดูได้อย่างทั่วถึงเลยหละ ไม่ว่าจะเป็นหินเห็ด หินเทียน หรือรองเท้านางฟ้า แต่บอกเลยว่า Queen’s Head ก็ยังยืนหนึ่งครองแชมป์เป็นหินยอดฮิตที่ทุกคนอยากมาเซลฟี่ด้วยอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ด้วยรูปทรงที่แลดูคล้ายรูปปั้นครึ่งตัวของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ แห่งประเทศอังกฤษ ชนิดที่เหมือนการแกะสลักมากกว่าการเกิดเองตามธรรมชาติ และตอนนี้ด้วยการสึกกร่อนไปตามแรงลม ทำให้ผู้คนเริ่มกังวลว่าส่วนที่เล็กที่สุดของหินก้อนนี้จะหักโค่นลงในซักวันหนึ่ง อย่ารอให้ถึงวันนั้นเลยน่า รีบไปดูด้วยตาคุณเองก่อนดีกว่าว่าอเมซิ่งจริงมั้ย?

        6. Elephant Trunk Rock

        อีกหนึ่งสถานที่อเมซิ่งซึ่งเกิดจากหินตามธรรมชาติของไต้หวันแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เขต Ruifang ใน New Taipei ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งตรงจุดนี้เป็นผาหินขนาดใหญ่ที่ผ่านการจัดแต่งของธรรมชาติมาได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี จนมีลักษณะเหมือนหัวของช้างอย่างกับมีคนแกะสลักแล้วเอามาตั้งวางไว้ ตรงบริเวณส่วนหัวของช้างเป็นผาหินที่ผู้คนนิยมไปถ่ายรูปและยืนชมความสวยของท้องทะเลด้านหน้าแบบสุดชิลล์ จะปีนป่ายขึ้นไปก็อย่าลืมใช้ความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยกันด้วยละกันเน้อ

        7. Sanxia Old Street

        นี่คือย่านเศรษฐกิจเก่าแก่แห่งหนึ่งของไต้หวัน เพราะตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำถึง 3 สาย และเคยเป็นย่านการค้าที่เฟื่องฟูมากในยุคที่การขนส่งทางเรือเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้ และแม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้ฮ้อตฮิตเท่าในสมัยก่อน แต่คุณค่าและความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจของถนนสายนี้ยังคงมีอยู่อย่างครบครัน ด้วยอาคารแบบโบราณที่สร้างด้วยอิฐแดงเรียงเป็นแนวยาวซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุคที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง เมื่อได้รับการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคใหม่ ถนนนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งเดินเล่นและถนนช้อปปิ้งที่น่าสนใจ ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอีกหนึ่งโลเกชั่นถ่ายรูปเจ๋งๆ ได้เป็นอย่างดี

        8. Lugu Tea Culture Center

        ถ้าใครชื่นชอบบรรยากาศเขียวๆ สวยๆ ของไร่ชา บอกเลยว่าไต้หวันก็มีเด้อ และก็ยังสวยในระดับที่จะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังเลยละ โดยใน Xiaobantian นั้นถือว่าเป็นย่านที่มีไร่ชาสีเขียวกว้างใหญ่สุดสายตา และศูนย์บริการลูกค้า ที่พัก ร้านอาหาร รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับชาให้ได้ลองใช้บริการกันอีกด้วยนะ ไร่ชาสวยๆ ของที่นี่เริ่มมีการเพาะปลูกกันตั้งแต่ในราวๆ ปี ค.ศ.1855 เป็นต้นมา ยาวนานขนาดนี้จึงเชื่อใจในคุณภาพชาของที่นี่ได้เลย แวะมาดูไร่ชา มาถ่ายรูปสวยๆ แล้วละก็อย่าลืมชิมเชียว

        9. Qingjing Farm

        ฟาร์มแสนสวยแห่งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมือง Nantou โดยเริ่มเปิดทำการกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1961 โน่นละ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน พร้อมด้วยธรรมชาติสวยงามเขียวขจีแสนอุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของแดนไต้หวันกันเลยละ ด้วยความที่มีทั้งทุ่งหญ้าและฟาร์มแกะขนาดใหญ่ในพื้นที่สูงเสียดฟ้า พร้อมด้วยบ้านเรือนหลังเล็กๆ ในสไตล์แสนน่ารักที่อยู่ระหว่างทางขึ้นมายังด้านบนของภูเขา เราว่าใครที่เป็นสายชิลล์ รักธรรมชาติ ชอบความสโลว์ไลฟ์ ถูกใจที่นี่แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์!

        10. Aowanda National Forest

        เขตป่าสงวนของไต้หวันแห่งนี้อยู่ไม่ไกลมากนักจากเมืองไถจง ที่นี่จะพีคแบบสุดๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เนื่องจากในเขตป่าสงวนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลมากมาย ที่นี่จึงกลายเป็นหนึ่งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังแห่งหนึ่งของไต้หวัน นอกจากนั้น ในช่วงฤดูร้อนป่าแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยหิ่งห้อยในยามค่ำคืน แถมยังมีแม่น้ำและน้ำพุร้อนอยู่ในพื้นที่ป่าอีกด้วย และแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองไถจง แต่ที่นี่ก็ถือว่าค่อนข้างสงบและไร้ซึ่งความวุ่นวาย ใครเป็นสายเดินป่าบอกเลยว่าที่น่าสนใจและไม่อยากให้พลาดเลยเชียว

        11. Hehuanshan National Forest

        ภูเขาเหอหยวน นอกจากจะเป็นภูเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวันแล้ว ยังเรียกว่าเพียบพร้อมในด้านความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะแม้จะเป็นภูเขาที่มีความสูงประมาณ 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ที่นี่ก็มีถนนตัดผ่านขึ้นมาถึงด้านบน และว่ากันว่าถนนเส้นนี้คือถนนที่สูงที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกอีกด้วยนะ บนภูเขาแห่งนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ราวๆ 6 องศา ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะตกลงมาปกคลุม ด้วยเส้นทางที่สะดวกสบายและยังมีที่พักให้บริการ ที่นี่จึงเป็นจุดหมายที่ชาวไต้หวันมักจะปักหมุดมุ่งหน้ามาชมทิวทัศน์ของทะเลหมอกและมานอนดูดาวกันตลอดแทบจะทั้งปีเลยทีเดียวนะคุณ

        12. Xiluo Bridge

        สะพานสีแดงสดที่ทอดตัวยาวผ่านทุ่งนากว้างซึ่งมีแบ็คกราวนด์ด้านหลังเป็นทิวเขาแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งทิวทัศน์สุดคลาสสิกที่ดูได้ไม่มีเบื่อเลยละ สะพานแห่งนี้ทอดข้ามแม่น้ำ Zhoushui และเป็นสะพานที่เชื่อมผ่านเมือง Changhua และ Yunlin เอาไว้ เห็นสีแดงสดขนาดนี้ แต่นี่คือสะพานที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคที่ญี่ปุ่นยังปกครองไต้หวันอยู่เลยนะ โดยสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1953 ซึ่งในเวลานั้นสะพานแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกรองจากสะพานโกลเด้นเกตในอเมริกา ด้วยระยะทางยาวเกือบ 2 กิโลเมตร แม้ปัจจุบันจะไม่ค่อยมีการใช้งานแล้ว แต่ชาวไต้หวันก็ยังคงเก็บที่นี่ไว้เป็นหนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ทั้งสวยงามและสำคัญ ครบครันขนาดนี้ถ้ามีเวลาก็อย่าลืมแวะไปแชะรูปกันให้ได้เชียว

        13. Alishan National Forest

        อุทยานแห่งชาติอาลิซันแห่งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ชาวไต้หวันนิยมมาใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่เสมอ เพราะเป็นยอดเขาที่มีความสูงราวๆ 2,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียสตลอดปี แถมที่นี่ยังมีจุดชมวิวสวยๆ หลายจุด มีการทำทางเดินชมพื้นที่ป่าศึกษาธรรมชาติได้อย่างดีและสะดวกสบาย นอกจากนั้น ที่นี่ยังเดินทางมาถึงได้ด้วยรถไฟ! ทั้งง่ายทั้งชิลล์ จะแค่เดินทางมาชมวิวหรือจะนอนค้างซักคืนก็คุ้มค่าและน่าจะฟินสุดๆ เลยหละ

        14. High-Heel Wedding Church

        นี่คือโบสถ์สุดแหวกแนวที่ถ้าไม่เห็นด้วยตาคงไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าทำ! โบสถ์รองเท้าส้นสูงแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Budai ใน Chiayi และได้รับการบันทึกจากกินเนสส์ว่าเป็นโครงสร้างของรองเท้าส้นสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านในมีอุปกรณ์เครื่องใช้ในพิธีแต่งงานครบครัน ที่เจ๋งกว่านั้นคือโบสถ์นี้มีที่มา ไม่ใช่แค่ว่าสร้างให้เก๋ๆ เท่านั้นนะ แต่ที่นี่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรค Blackfoot ซึ่งเกิดจากการปนเปื้อนของสารหนูในน้ำ โดยผู้ป่วยจะมีอาการเนื้อที่เท้าตายจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำ และทำการรักษาได้ด้วยการตัดทิ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเธอจึงหมดโอกาสที่จะได้แต่งงานหรือสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวอีกต่อไป โบสถ์นี้จึงสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกและอุทิศให้แก่หญิงสาวที่ถึงคราวเคราะห์ร้ายเหล่านั้นนั่นเอง

        15. Baiyang Trail

        นี่คือเส้นทางเดินภายในถ้ำที่ความยาวรวมแค่เพียงประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ด้วยเพราะมีเส้นทางเข้าได้จากถ้ำถึง 6 ถ้ำ จึงทำให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละเส้นทาง ทั้งระทึกใจ ลึกลับ หรือแม้กระทั่งโรแมนติกอย่างไม่น่าเชื่อ! เส้นทางในบางถ้ำจะคดเคี้ยวและค่อนข้างมืด ในขณะที่บางถ้ำสว่างด้วยแสงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ การเข้าจากปากทางแห่งหนึ่งอาจใช้เวลาเดินเพียงแค่ 40 นาที ในขณะที่อีกทางคุณต้องเดินถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง! อยากเดินฟีลไหนก็เลือกกันได้เลย ถ้ำนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยาน Taroko อันโด่งดังและเดินทางได้ไม่ยากเย็น ใครอยากลองเดินหรืออยากเห็นด้วยตาก็มากันเด้อ

        16. Buluowan

        อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Taroko ที่นี่เป็นภูเขาสูงราวๆ 370 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่มีอุณหภูมิเย็นสบายคงที่อยู่ที่ประมาณ 21.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี บริเวณใกล้กับจุดบริการนักท่องเที่ยวของที่นี่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวสดที่มีลิลลี่ป่าขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วๆ ไปในบริเวณนี้ โดยมีการทำเส้นทางเดินเพื่อชมความงามของดอกไม้ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาลอยู่หลายเส้นทาง และยังเป็นระยะสั้นๆ ที่เดินง่ายและไม่ทำให้เหนื่อยเกินไปสำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย ง่ายขนาดนี้ต้องไปแล้วหละ เชื่อเหอะน่าว่าสวยจริง

        17. Bi Mountain

        หมู่เกาะ Matzu ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของไต้หวัน โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินแกรนิตและยอดเขาที่สูงชัน และมี Bi Mountain เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบริเวณนี้ ซึ่งมีความสูง 294 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พื้นที่ละแวกนี้เคยถูกใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร โดยจะเห็นได้จากป้อมปราการลายพรางสีเขียวที่กระจายตัวอยู่หลายจุดรอบๆ บริเวณ จุดชมวิวมุมสูงด้านบนยอดเขาแห่งนี้จะทำให้คุณได้เห็นทิวทัศน์ของพื้นที่โดยรอบแบบ 360 องศา จะเป็นอ่าว หาดทรายขาว หรือน้ำทะเลสีฟ้าครามใสสะอาด ก็กวาดตามองได้หมดจากจุดนี้เพียงจุดเดียวเลย

        18. Twin Heart Stone Weir

        เมือง Penghu ได้ชื่อว่าเป็นบ้านของฝายหิน เพราะเมืองนี้เมืองเดียวมีการสร้างฝายหินขึ้นถึง 558 แห่ง และถ้าจะให้พูดถึงฝายหินที่ยืนหนึ่งในตำแหน่งฝายหินสุดมุ้งมิ้งละก็ ต้องขอยกให้ที่นี่จริงๆ ละ เพราะเค้าสร้างฝายแห่งนี้ให้เป็นลักษณะของหัวใจ 2 ดวงที่อยู่คู่กัน โดยฝายหินแบบนี้สร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้ดักปลาที่ว่ายมาในบริเวณนี้และติดอยู่ที่บริเวณฝายในเวลาน้ำลง เป็นการทำประมงพื้นบ้านแบบง่ายๆ โดยใช้ธรรมชาติเป็นหลักนั่นเองละ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้น่ะ เจ้าฝายหินรูปหัวใจกลับเป็นกับดักดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมได้มากกว่าปลาน่ะสิ เอ๊ะ ว่าแต่แล้วมันจะดีมั้ยเนี่ย??

        หวังว่า 18 แหล่งท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับวิวแบบ Unseen in Taiwan ที่เราเอามาฝากกันน่าจะมีที่ถูกใจคุณบ้างละน่า ดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยว่าไต้หวันน่ะ จะมีสถานที่สวยๆ และแปลกตาแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วย แถมจริงๆ คือมีเยอะอย่างไม่น่าเชื่อด้วยนะ เพราะที่ยกมาเนี่ยเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีแหล่งอันซีนอีกเพียบเลยที่เรายังไม่ได้จัดมา เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ ทุกวันนี้ไต้หวันเป็นประเทศที่เดินทางง่ายแถมค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง ถ้าคุณเดินทางไปไต้หวันก็อย่าลืมแวะไปดูวิวว้าวๆ ที่เราเอามาฝากกันบ้างนะ เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะสวยสะใจและไม่ทำให้คุณผิดหวังที่ดั้นด้นไปอย่างแน่นอน คอนเฟิร์ม!!!

        ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลและภาพประกอบ

        https://www.traveloka.com/

        รูปประกอบส่วนหนึ่งจาก https://eng.taiwan.net.tw/

      • 20ที่เที่ยว สวยที่สุดในไทย ที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง
        20ที่เที่ยว สวยที่สุดในไทย ที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง
        longweekend - พฤษภาคม 12, 2021

        ในบ้านเรามีที่เที่ยวมากมายแบบที่ไปกันได้ทั้งปีก็ยังไม่มีหมดค่ะ นี่ยังไม่นับรวมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ผุดกันขึ้นมาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าประเทศไทยของเรานั้นแทบจะเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวกันเลย ว่าแล้วมาดู 20 ที่เที่ยว สวยที่สุดในไทย ชาตินี้ต้องไปสักครั้ง! ที่เรา Recommend มาแล้วเช็คลิสต์ดูว่าไปเช็คอินกันมาแล้วกี่ที่

        1.เกาะมุก ตรัง

        เกาะมุก ได้ชื่อว่า “ถ้ำมรกตอันล้ำค่าแห่งอันดามัน” เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของท้องทะเลตรังเลยทีเดียว นอกจากชาดหาดที่สวยงามแล้ว เกาะมุกยังมีจุดเด่นที่ ถ้ำมรกต ถ้ำน้ำเล็กๆ ซึ่งมีความยาวประมาณ 80 เมตร นักท่องเที่ยวจะต้องลอยตัวฝ่าความมืดเพื่อเข้าไปภายในถ้ำและต้องเป็นช่วงเวลาน้ำลงเท่านั้นด้วย ภายในถ้ำน้ำทะเลจะมีสีเขียวคล้ายมรกตสวยงามอลังการ Unseen สุดๆ

        ———————————————————————————————————————————–

        2.ชิงช้าต้นไม้  พิษณุโลก

        ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวพิษณุโลก แต่ไม่ได้ไปนั่งชิงช้าต้นไม้ ที่ บ้านสวนชมวิวภูรักไทย อ.เนินมะปราง เราบอกเลยว่าพลาดอย่างแรง!!! เพราะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในพิษณุโลกทีเดียวค่ะ

        จากจุดชมวิวบนต้นไม้นี้สามารถมองออกไปเห็นทิวเขาและพื้นที่ราบรอยต่อของ 5 จังหวัด คือ นครสวรรค์ ลพบุรี พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก เวลาที่แนะนำให้มาเลยก็คือช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะจะได้เห็นทั้งทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเลยทีเดียว

        ———————————————————————————————————————————–

        3. ไร่ชาฉุยฟง เชียงราย

        เชียงราย เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง วัดร่องขุ่น, บ้านดำ, ดอยตุง แล้ว ที่นี่ยังเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีการทำไร่ชาตามแนวภูเขา ทำให้เราเห็นวิวภูเขาสูงรายล้อมไร่ชาสีเขียวเป็นแนวยาว และฟ้าสีครามสวยมากๆค่ะ

        ไร่ชาฉุยฟง ตั้งอยู่ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ค่ะ เป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี และกิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบกันมากๆ ก็คือ การลงไปถ่ายรูปสวยๆ กับไร่ชากันด้วยค่ะ

        ———————————————————————————————————————————–

        4. น้ำพุร้อนฝาง เชียงใหม่

        ช่วงฤดูหนาวของไทย ใครหลายๆคน ไปเที่ยวภาคเหนือและไปรับชมบรรยากาศของน้ำพุร้อน หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันดีในชื่อออนเซ็น เชื่อคงจะมีใครหลายคนที่มองข้ามเรื่องของน้ำพุร้อนไปอยู่มาก บ้างคนก็อาจจะกลัว หรือกระทั่งไม่เคยลงแช่แต่ก็ยังอยากลองดูสักครั้ง นี่เป็นโอกาสที่ดีมากๆ เลยทีเดียวเชียวล่ะน้ำพุร้อนฝาง ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมาก บ่อน้ำพุร้อนมีมากกว่า 50 บ่อ มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไป อุณหภูมิสูงประมาณ 90 องศาเซลเซียส มีบริการบ่อแช่น้ำแร่แบบส่วนตัว อุณหภูมิอุ่นพอดีช่วยให้สบายตัวและดีต่อผิวพรรณ นอกจากนี้ยังมีบ่อต้มไข่ไว้ให้อิ่มอร่อยกันอีกด้วย

        ———————————————————————————————————————————–

        5. เกาะตาชัย พังงา

        เกาะตาชัย มีลักษณะทางธรรมชาติที่คล้ายคลึงกับสิมิลันไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายขาว ละเอียดนุ่มเท้าชายหาดทรายขาวที่ ทอดยาว ขนานไปกับผืนน้ำประมาณ 700 เมตร  มีจุดดำน้ำดูปะการัง ที่ทอดตัว ยาวขนานกับชายหาด  มีแนวปะการังที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ และความสมบูรณ์ของแนวปะการังทำให้เกาะตาชัยอุดมไปด้วยด้วยปลาทะเลน้อยใหญ่ หากมาในช่วงจังหวะดีๆ จะได้พบเห็นฉลามวาฬ กระเบนราหู เวียนว่ายมาทักทายอีกด้วย ความงดงามและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทำให้ เกาะตาชัย กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ ทำให้นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนอยากเดิน ทางไปสัมผัส  

        ปัจจุบัน เกาะตาชัย ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวค้างคืนได้  สามารถท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น บนเกาะไม่มีที่พักไม่มี อาหารขาย มีสิ่งอำนวยความสะดวก คือ ห้องน้ำแยกชายหญิงเป็นสัดส่วน โดยการท่องเที่ยวเกาะตาชัย สามารถซื้อแพ็คเกจแบบเช้าไปเย็นกลับ (One Day Trip) กับบริษัททัวร์ที่ให้บริการนำเที่ยวราคาจะอยู่ที่ 2600 -2800 บาท รวมอาหารแพค ดำน้ำ และรถรับส่ง  โดยการเดินทางไปเที่ยวเกาะตาชัย สามารถเดินทางได้ทั้งจากจังหวัดพังงาหรือจะเดินทางจากภูเก็ตก็ได้

        ———————————————————————————————————————————–

        6. วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์

        ลำปาง

        อีกหนึ่ง Unseen Thailand ที่ไม่ควรพลาด วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หรือ วัดพระบาทปู่ผาแดง ในอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขา หรือดอยปู่ยักษ์ ในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยพระบาท มีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ และมีเจดีย์ตั้งอยู่บนยอดเขาเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น

        หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่เมื่อมาถึงจังหวัดลำปางแล้วไม่มาที่นี่ถือว่าคุณมาไม่ถึง นั่นคือ วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดลำปาง ที่รับรองว่าหากใครได้ไปสัมผัสด้วยตนเองจำต้องติดใจและอยากกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

        ———————————————————————————————————————————–

        7. เพลาเพลิน บุรีรัมย์

        หลายคนอาจจะไม่เชื่อเพราะติดภาพความแห้งแล้งของอีสานเข้าไป ก็ไว้จนคิดว่าอีสานต้องร้อนและแล้งสุดๆ แต่ขอบอกว่า เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาแล้ว ! ใครจะไปเชื่อว่าอีสานใต้ จะมีเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาว แต่ก็มีอยู่จริงๆ ที่ เพลาเพลิน บุรีรัมย์ ค่ะ ที่นี่หลักๆ แล้วสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่เพื่อพัฒนาผู้เรียนนอกห้องเรียนสำหรับเยาวชน และบุคคลทั่วไป นอกจากนี้อุทยานไม้ดอกเพลาเพลินก็จะมีเรือนจัดแสดงพืชพันธุ์นานาชนิดอีกด้วย

        ———————————————————————————————————————————–

        8. หมู่เกาะกำ ระนอง

        หมู่เกาะกำ นั้น เป็นหมู่เกาะที่อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแหลมสน ที่นี่เป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงาม น้ำทะเลใส และหาดทรายขาว เป็นจุดดำน้ำตื้น, เล่นน้ำ ของเหล่านักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งค่ะ ซึ่งสามารถไปเที่ยวที่นี่ได้ด้วยโปรแกรมนำเที่ยวหมู่เกาะกำแบบไปเช้าเย็นกลับ สามารถเช่าเหมาเรือหางยาวของชาวบ้าน ติดต่อขอเช่าเรือได้ที่ชมเรือนำเที่ยวค่ะ

        หมู่เกาะกำ เป็นหมู่เกาะซึ่งประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่เรียงตัวอยู่ใกล้เคียงกันรวมจำนวนทั้งหมด 7 เกาะ ได้แก่ เกาะกำใหญ่, เกาะกำตก (อ่าวเขาควาย), เกาะกำนุ้ย, เกาะลูกกำกลาง (เกาะญี่ปุ่น), เกาะลูกกำออก (เกาะนก), เกาะลูกกำใต้ (เกาะไฟแว๊บ) และเกาะล้าน เกาะค้างคาว

        ———————————————————————————————————————————–

        9. ซากุระ อ่างขาง เชียงใหม่

        ต้องบอกว่าหนึ่งปีมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นกับการอวดโฉมของซากุระที่เมืองไทย ที่ไม่ต้องบินไปไกลก็สามารถเที่ยวชมกันได้ที่ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ต้นซากุระญี่ปุ่น และ เชอรี่ (Cherry Blossom) ซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงได้นำเข้ามาปลูกทั้งจากญี่ปุ่น และไต้หวันนั้น บานสะพรั่งสีชมพูสวยไปทั้งอ่างขางกว่า 5,000 ต้นแล้วค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ตามจุดต่างๆ ได้ ช่วงที่เหมาะแก่การเที่ยวชม ซากุระเมืองไทย มักจะบานเต็มที่ในช่วงหลังปีใหม่ราวปลายเดือนมกราคม-ต้นกุมภาพันธ์

        ———————————————————————————————————————————–

        10. พญาคันคาก ยโสธร

        ลืมเมอร์ไลอ้อนสิงคโปร์ไปได้เลย! เพราะวันนี้เมืองไทยเรามีแลนด์มาร์คแห่งใหม่ พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก สุดยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำทวน ใน จ.ยโสธร เป็นตึกพิพิธภัณฑ์รูปคางคก ความสูง 19 เมตร หรือเท่ากับตึก 5 ชั้น สำหรับชาวอีสาน คางคกเป็นสัตว์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และเป็นตำนานความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟที่มีมาช้านาน จึงเป็นที่มาของแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่ใครไปเที่ยวยโสธรก็ต้องแวะไปเช็คอิน

        ———————————————————————————————————————————–

        11. ภูชี้ฟ้า เชียงราย

        ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นสุดฮอตของจังหวัดเชียงราย ติดชายแดนไทย-ลาว ค่ะ มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า อยู่สูงจากระดับทะเลประมาณ 1,628 เมตร โดยมีหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว บนยอดภูชี้ฟ้าเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ในฤดูหนาวจะมีทิวทัศน์สวยงามเป็นพิเศษ และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ต้นเสี้ยวดอกขาวรอบภูชี้ฟ้าจะออกบานเต็มเชิงเขา

        ———————————————————————————————————————————–

        12. Coro Field สวนผึ้ง ราชบุรี

        Coro Field ที่เที่ยวรูปแบบใหม่ Lifestyle Farming สไตล์ญี่ปุ่นแห่งเดียวในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีนี่เอง บรรยากาศนี่เหมือนหลุดไปในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ เมื่อก้าวเท้าเข้าเขตแดนโคโรฟิลล์แล้ว สิ่งที่สะดุดสายตา นอกจากนานาพันธุ์ไม้สีเขียวละลานตาแล้ว คือเรือนกระจกสีขาวที่เป็นดั่งขุมทรัพย์ของกระเพาะอาหาร “Coro Cafe” แหล่งรวบรวมสารพันเมนูเด็ดทั้งของคาวและหวาน จากไอเดียของเชฟ Blackitch Artisan Kitchen สุดยอดเชฟทีมชาติไทยที่ลงมือสร้างสรรค์เมนูจากผลผลิตทั้งหมดของฟาร์ม นอกจากนี้ยังมี ‘Coro Market’ ที่สามารถเลือกซื้อผลผลิตและผลิตภัณฑ์ต่างๆเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไปได้อีกด้วย

        ———————————————————————————————————————————–

        13. แพหอยนางรม อ่าวท่าโสม ตราด

        ใครเคยเห็นแพหอยนางรมกลางทะเลบ้างยกมือขึ้น !! แต่ถ้าให้เดาเราคงเคยเห็นแต่หอยนางรมที่แพ็คมาในกระปุกขายกันมากกว่าใช่ไหมล่ะคะ หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้เห็นอย่างจริงๆ เราจะพาไปรู้จักกับ…. บ้านหอยนางรม แห่งนี้อยู่ที่ หมู่ที่ 1 บ้านท่าโสม ต.ท่าโสม อ.เข้าสมิง จ.ตราดค่ะ เราสามารถไปดูแพหอยนางรมสดๆ ได้ถึงกลางทะเลตราดโดยการลงเรือล่องฝ่าป่าชายเลนออกไปกลางทะเลเพื่อไปถึงแพหอยนางรมของชาวบ้านนั่นเอง

        ———————————————————————————————————————————–

        14. บ้านป่าบงเปียง เชียงใหม่

        บ้านป่าบงเปียง เป็นทุ่งนาขั้นบันไดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดแล้วในเมืองไทยช่วงหน้าฝน ช่วงเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดจะอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ของทุกปีค่ะ เพราะนาข้าวจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล จากนาสีเขียว จนกลายเป็นทุ่งนาสีเหลืองทอง ซึ่งความสวยงามไม่แพ้กัน

        ———————————————————————————————————————————–

        15. ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ แม่ฮ่องสอน

        ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอนั้นอยู่ที่อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่กว่า 500 ไร่ รายล้อมด้วยทัศนียภาพของหุบเขาสลับซับซ้อน แต่ก่อนจะขึ้นไปถึงนั้นย่อมต้องมีอุปสรรคบ้างพอหอมปากหอมคอ ด้วยการผ่านโค้ง 1,864 โค้งเลยทีเดียว แต่บอกได้เลยว่า คุ้มค่าค่ะ

        ———————————————————————————————————————————–

        16. เที่ยวไร่ชา บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน

        ถ้าพูดถึงหน้าหนาวก็ต้องนึกถึงบรรยากาศท่ามกลางขุนเขา ทะเลหมอก ดอกไม้บานสะพรั่ง และชาอุ่นๆ สักแก้ว ความรู้สึกประมาณนี้ทำให้เก็บกระเป๋าอย่างไม่ทันรู้ตัว ผ่านเส้นทางโค้งฉวัดเฉวียนไปๆ มาๆ หลายพันโค้งจนกระทั่งได้มาถึงที่นี่ค่ะ บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน หมู่บ้านชาวจีนยูนนาน ที่รายล้อมด้วยหุบเขาใหญ่ บรรยากาศของที่นี่ทำให้แทบไม่รู้สึกว่าอยู่เมืองไทย จังหวะนึงแอบเผลอๆ คิดไปว่ากำลังอยู่ในฉากของหนังจีนกำลังภายในสักเรื่องเลยทีเดียว

        อากาศเย็นๆ สบายๆ เกือบทั้งปี ยกเว้นช่วงหน้าหนาวนี่แหละ ที่จะหนาวมากเป็นพิเศษค่ะ เพราะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,776 เมตร และนอกจากเรื่องของอากาศที่ดีมากๆ แล้ว พื้นที่ของบ้านรักไทยนั้นก็เหมาะอย่างยิ่งกับการปลูกชาพันธุ์ดี และพืชเมืองหนาวอีกด้วยค่ะ ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชา และขาหมูหมั่นโถวมาก

        ———————————————————————————————————————————–

        18. เกาะห้อง อ่าวพังงา กระบี่

        ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพายแคนูมากที่สุด ในอ่าวพังงานั้นก็คือ เกาะห้อง นั่นเอง ซึ่งจะเป็นเกาะที่ประกอบด้วยภูเขาหินปูนลูกน้อยใหญ่เรียงตัวโอบล้อมผืนทะเลไว้ในลักษณะเกือบจะเป็นทรงกลมคล้ายกับห้องขนาดใหญ่จึงเรียกกันว่า “เกาะห้อง” ค่ะ

        ไฮไลท์ของการมาเที่ยวเกาะห้องก็คือ ช่วงเวลาน้ำลงเราจะสามารถเดินเลียบเลาะไปตามแนวสันทรายบริเวณขอบรอบๆ เกาะห้องได้ จะได้ความรู้สึกเหมือนได้เล่นน้ำท่ามกลางสระว่ายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ทีเดียว

        ———————————————————————————————————————————–

        19. ปัว น่าน

        หลบไปใช้ชีวิตแบบ Slow life กันที่ อ.ปัว จ.น่าน ความสงบเรียบง่ายของที่นี่จะทำให้ต้องตกหลุมรัก โดยเฉพาะบรรยากาศทุ่งนาสีเขียวขจีที่โอบล้อมด้วยภูเขา ถ้าอยากพักผ่อนแบบชมวิวสวยๆแบบนี้ มีบ้านพักโฮมสเตย์ให้เลือกหลากหลาย

        เมืองปัวเป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเที่ยวหน้าหนาวดีกว่าอากาศหนาวเย็นสบาย  แต่ถ้าอยากเห็นเมืองปัวในแบบที่สวยที่สุดควรมาหน้าฝนช่วงฤดูทำนาตั้งแต่กลางเดือน กย – ตค คือ ถ้ามาหน้าหนาวก็จะได้แค่อากาศหนาวไม่ได้วิวทุ่งนาเขียวขจีเต็มเมือง ซึ่งเรามองว่าวิวทุ่งนาและเขาเขียวขจีเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเมืองนี้

        ———————————————————————————————————————————–

        20. แพริมน้ำ เขื่อนเชี่ยวหลาน

        สุราษฎร์ธานี

        ใครว่าทะเลทางใต้มีแต่น้ำเค็ม เราอยากจะชวนเพื่อนๆ ไปนั่งเล่น แพริมน้ำ พายเรือคายัคชมวิวยังที่ที่ได้รับการขนานนามให้เป็นกุ้ยหลินเมืองไทย ที่ เขื่อนรัชชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใครที่อยากตื่นตอนเช้าแล้วเห็นทะเลหมอกกลางภูเขาหินปูน ไม่ควรพลาดที่พักเหล่านี้เด็ดขาด

        ———————————————————————————————————————————–

      • 27ที่เที่ยว ภูเก็ต กระบี่ ดีต่อใจ ไปกี่ครั้งก็ฟินอ่ะ
        27ที่เที่ยว ภูเก็ต กระบี่ ดีต่อใจ ไปกี่ครั้งก็ฟินอ่ะ
        longweekend - พฤษภาคม 11, 2021

        ช่วงต้นปีแบบนี้ ไม่ได้เป็นไฮซีซั่นของที่เที่ยวภาคเหนือเท่านั้นนะ แต่ยังเป็นฤดูซึ่งสามารถเที่ยวภาคใต้ฝั่งอันดามันได้เวิร์คสุดๆ อีกช่วงนึงด้วย เพราะทะเลก็สวย ฟ้าก็ใส แถมยังไม่ค่อยจะมีมรสุมมารบกวน วันนี้เราเลยหยิบที่เที่ยวของสองจังหวัดหลักๆ อย่างภูเก็ตและกระบี่มาให้ส่องกันแบบจัดหนักจัดเต็มถึง 27ที่

        1.เกาะเฮ

        หนึ่งเกาะในภูเก็ตที่เดินทางง่ายด้วยสปีดโบ๊ทไม่ถึง 20 นาที แถมยังเป็นเกาะที่มีทั้งหาดทรายขาวๆ น้ำทะเลสีฟ้าใสๆ และโลกใต้ทะเลที่สวยสมบูรณ์เหมาะกับคุณๆ ที่ชอบการดำน้ำ ตามมาด้วยกิจกรรมกลางแจ้งที่มีให้เลือกอีกเพียบบนเกาะ ใครไม่ชอบนั่งเฉยๆ ชิลล์ๆ นิ่งๆ มองหาแพ็คเกจ one day trip ไปเกาะนี้ได้เลยจ้า รับรองว่าเพลินทั้งวัน

        2หาดในหาน

        ชายหาดความยาวประมาณ 700 เมตร ที่แม้ไม่กว้างใหญ่แต่ก็ไม่เคยห่างหายจากนักท่องเที่ยว เพราะหาดนี้เดินทางง่าย แถมยังอยู่ใกล้กับพิกัดไฮไลท์อย่างหาดราไวย์และแหลมพรหมเทพ หาดทรายก็ขาว น้ำทะเลก็ใส แต่จุดขายของหาดนี้คือวิวที่ให้ฟีลไฮโซเหมือนได้เดินโก้ๆ อยู่ในยุโรปจ้า เพราะว่าทำเลที่นี่เหมือนมีกำแพงกันคลื่นและพายุทั้งหลาย จึงมักมีบรรดาเรือยอร์ชมาลอยอ้อยอิ่งหลบลมกันอยู่แถวนี้เป็นประจำ อ้อ…พระอาทิตย์ตกที่นี่ก็สวยด้วยนะ มาจัดเลย

        3. หาดไม้ขาว

        หาดสวยที่มีดีมากกว่าธรรมชาติ เพราะนอกจากหาดสวยๆ แล้ว ที่นี่ยังมีไฮไลท์ซึ่งหาได้ไม่กี่ที่ในโลก โดยการเป็นชายหาดที่คุณจะสามารถสัมผัสความอลังการของเครื่องบินกันอย่างใกล้ชิด เพราะหาดนี้อยู่ติดกับรั้วสนามบินเลยจ้า ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็บอกเลยว่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่ถ้าจะให้ว้าวมาตอนเช้าๆ แล้วถ่ายรูปกับเครื่องบินที่กำลังแลนดิ้งจะออกมาฟินกว่านะ ไปลองดู

        4. พระใหญ่ภูเก็ต

        องค์พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรีองค์นี้ เป็นองค์พระใหญ่ประจำเมืองภูเก็ตที่มีความสูง 45 เมตรมองเห็นได้แต่ไกล องค์พระประดับด้วยหินอ่อนหยกขาวจากเมียนมาร์น้ำหนักกว่า 135 ตัน ประดิษฐานอยู่บนยอดเขานาคเกิดในตำบลกะรน ด้านบนเป็นจุดชมวิวมุมสูงสวยงามมองเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา มาไหว้พระแล้วยังจะได้ชมวิวสวยๆ ด้วยนะ คุ้มค่าสุดๆ พูดเลย

        5. แหลมกระทิง

        พิกัดลับซึ่งเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของการไปเยือนเมืองภูเก็ต ซึ่งต้องออกแรงปีนป่ายกันเล็กน้อยเพื่อเดินเลาะเนินเขาริมทะเลให้ไปถึงบริเวณปลายแหลม บอกได้เลยว่าเหนื่อยนิดหน่อยนะแต่วิวคือคุ้มค่าสุดๆ เพราะคุณจะได้ยืนอยู่บนปลายสุดของแหลมกระทิงซึ่งเป็นทุ่งหญ้า มองทะเลอันดามันแบบพาโนรามาเต็มตาเหมือนอยู่ในโรงหนัง IMAX เชียวละ ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตกจะสวยฟินโรแมนติกสุดๆ ไปเลยนะ ลุยหน่อยจ้าแต่คุ้มเว่อร์จริงๆ

        6. เกาะราชา

        เกาะราชาแบ่งออกเป็นเกาะราชาใหญ่และเกาะราชาน้อย แต่ที่ผู้คนนิยมไปชิลล์กันมากกว่าก็คือที่เกาะราชาใหญ่ เพราะอยู่ใกล้เกาะภูเก็ต และยังมีร้านรวงพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบครัน ในขณะที่เกาะราชาน้อยนั้นไกลกว่า แต่มีธรรมชาติสวยๆ ที่เหมาะกับการดำน้ำแบบคุ้มค่าการเดินทาง แล้วถ้าต้องการค้างคืนก็ต้องเป็นที่เกาะราชาใหญ่เท่านั้นจ้า เลือกได้ตามอัธยาศัยเลย

        7. ถนนคนเดินหลาดใหญ่

        เป็นซิกเนเจอร์ของตัวเมืองภูเก็ตที่อยากให้ทุกคนได้แวะเวียนมาสัมผัสกันซักครั้ง เริ่มจากพิกัดที่ตั้งซึ่งแสนจะคลาสสิกล้อมรอบด้วยอาคารสไตล์ชิโน – โปรตุกีสในเขตเมืองเก่าที่แค่ดูก็เพลินแล้ว ถือเป็นถนนสายวัฒนธรรมที่รวมทั้งของกินของใช้สไตล์ภูเก็ตเอาไว้แบบครบครัน แถมยังมีการแสดงพื้นเมือง งานศิลปะท้องถิ่น และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่มีขึ้นในทุกวันอาทิตย์น้า แวะเลยจ้า รับรองเลยว่าเพลิน

        8. เกาะโหลน

        เกาะเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติอันแสนสมบูรณ์และวิถีชีวิตเรียบง่ายสไตล์ท้องถิ่น เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ฝั่งภูเก็ตเพียงนั่งเรือแค่ 15 นาที แต่ให้ฟีลลิ่งของวิถีชาวเกาะที่น่ารักและไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งมากมาย บนเกาะโหลนมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ทั้งการออกเรือไปตกปลาด้วยเบ็ดโบราณ การทำขนมท้องถิ่น การเพ้นท์ผ้าบาติก หรือการตก ‘โวยวาย’ ซึ่งน้อยพื้นที่จะมีให้ลอง ใครชอบแนวสโลว์ไลฟ์ นั่งเรือไปเกาะนี้แค่ 15 นาทีเองจ้า รับรองว่าฟิน

        9. แหลมพรหมเทพ

        จุดชมพระอาทิตย์สุดคลาสสิกที่อยู่ยั้งยืนยงคู่กับเกาะภูเก็ตมาเนิ่นนาน และยังคงเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของเกาะนี้ที่ไม่ควรพลาด แหลมพรหมเทพนั้นได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย โดยเลือกได้ทั้งการยืนชมอยู่ด้านบนถนน หรือเดินต่อลงไปยังบริเวณปลายแหลมริมทะเล มาดูกับเพื่อนก็ดี แต่มาดูกับคนรู้ใจคือที่สุดจ้ะ ใครมีคู่มาต้องปักหมุดนะ บอกเลย

        10. หาดป่าตอง

        จะเรียกว่าเป็นหาดฮิตยืนหนึ่งของเมืองภูเก็ตเลยก็ว่าได้ ป่าตองนั้นกลายเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของจังหวัดนี้ที่มาแล้วควรต้องแวะเช็คอินกันซักหน่อย เพราะนอกจากจะมีหาดทรายสวยและน้ำทะเลใสแจ๋วแล้ว ป่าตองยังเป็นศูนย์รวมสารพัดความบันเทิงเอาไว้แบบครบครันชนิดที่เพลินกันได้แบบ 24 ชั่วโมงไปเลยจ้า จะเป็นกิจกรรมทางน้ำ ร้านอาหาร ร้านนั่งชิลล์ ร้านค้า หรือจะมาช้อปปิ้งก็ยังได้ อยากทำอะไรก็ได้หมดละถ้ามาหาดนี้

        11. วัดฉลอง

        วัดเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองภูเก็ตมาเนิ่นนาน แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็นวัดที่สวยที่สุดของภูเก็ตอีกด้วยนะ มาวัดนี้ก็ต้องมากราบนมัสการรูปจำลององค์หลวงพ่อแช่ม ซึ่งว่ากันว่าในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นพระที่มีความสามารถในเรื่องของการรักษาโรคต่างๆ ด้วยยาสมุนไพร และแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้วนับร้อยปี แต่ผู้คนสมัยนี้ก็ยังให้ความเชื่อถือศรัทธา มาภูเก็ตอย่าลืมแวะมากราบขอพรเรื่องสุขภาพกันนะ จะได้ฟิตปั๋งไปตลอดทั้งปี!

        12. หาดกะตะ

        นอกจากหาดทรายขาว น้ำทะเลสวยใส และโลกใต้ทะเลที่สวยสมบูรณ์ใกล้เคียงกันกับหาดอื่นๆ ในภูเก็ตแล้วนะ หาดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักเซิร์ฟทั้งหลาย เพราะมีคลื่นลูกใหญ่ที่โต้กันได้แบบสุดมัน แถมยังเป็นพิกัดที่สามารถชมแสงสุดท้ายของวันกันได้แบบสวยสุดๆ อีกหนึ่งแห่งของภูเก็ตด้วยนะ อย่าลืมแวะมาเช็คอินเด้อ

        13. เกาะไม้ท่อน

        เกาะส่วนตัวที่เปิดให้เราได้ซื้อทัวร์ไปเที่ยว one day trip แบบสบายๆ และบอกได้เลยว่าแสนจะคุ้มค่า เพราะหลายคนขนานนามความสวยของเกาะนี้ไว้ว่าเป็น ‘มัลดีฟส์ของเมืองไทย’ และเพราะความที่เป็นเกาะส่วนตัวนี่ละ เลยทำให้เราเที่ยวกันได้แบบเต็มที่ เสพความสวยของธรรมชาติที่มีได้แบบจุใจ โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนมากมายให้อึดอัดด้วยนะ อยากอวดบิกินี่ตัวสวยโพสต์ท่าแบบไม่ต้องเขินมากมาย เกาะนี้ช่วยได้จ้า ฟิตหุ่นมาให้พร้อมเด้อ

        14. หนองทะเล

        บึงน้ำขนาดพื้นที่กว้างนับร้อยไร่ในเขตอำเภอเมืองกระบี่แห่งนี้ เป็นพิกัดที่เงียบสงบแต่สวยเว่อร์วังสุดปังในตอนเช้า เพราะวิวพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ากับแสงแรกที่สวยตระการตาจะทาบทาภูเขาหินปูนรูปทรงต่างๆ ซึ่งอยู่รอบๆ ให้สะท้อนภาพเงาลงบนผิวน้ำ ถ้าช่วงไหนอากาศเย็นหน่อยก็จะมีหมอกขาวๆ ลอยให้เห็นด้วยนะ ช่วงเดือนกุมภา – มีนา ยังมีดอกจิกกลีบสีแดงร่วงหล่นบนขอบบึงเกลื่อนกลาดให้สวยขึ้นไปอีกจ้า มาได้มานะ ใครชอบถ่ายรูปคือดีมากจ้ะ พูดเลย

        15. วัดถ้ำเสือ

        เอาใจสายบุญกันด้วยการชี้เป้าวัดสุดว้าวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกระบี่มากนัก แต่รับรองว่าบรรยากาศสุดประทับใจ เพราะเป็นวัดที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้อายุนับร้อยปี พื้นที่วัดนี้กว้างขวางเกือบๆ 200 ไร่ มีไฮไลท์เป็นองค์พระธาตุเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงราว 600 เมตร ถ้ามีจิตศรัทธาก็ค่อยๆ เดินขึ้นบันได 1,200 ขั้นขึ้นไปกราบได้เลยจ้า โบนัสที่ได้คือวิว 360 องศาที่ปังมาก ถ้าข้อเข่าไหวก็อยากชวนให้แวะมาเช็คอินกัน

        16. หาดไร่เลย์

        หาดเก๋ๆ บนฝั่งที่หลอกให้หลายคนเข้าใจผิดได้อย่างจริงจังว่าที่นี่คือเกาะกลางทะเล เพราะการจะมาหาดนี้ต้องใช้วิธีนั่งเรือมา เนื่องจากภูมิประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ทางบกนั่นเอง นอกจากความสวยของน้ำทะเลใสๆ และชายหาด รวมถึงวิวพระอาทิตย์ตกแจ่มๆ แล้วนะ หาดไร่เลย์ยังเป็นพิกัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเพราะเป็นแหล่งปีนผาซึ่งมีวิวตระการที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอีกด้วย ในยามปกติจึงมีนักปีนผาจากทั่วโลกมาที่นี่ไม่ขาดสาย ไม่ต้องปีนแค่ได้ยืนดูก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว รับรอง

        17. สระมรกต

        สระน้ำกว้างกลางผืนป่าเขียวขจีของเมืองกระบี่ ที่เห็นแค่น้ำสีฟ้าใสแจ๋วก็อยากกระโดดลงไปว่ายให้สาแก่ใจกันแล้วจ้า ความเก๋อยู่ตรงที่นอกจากจะสวยน่าแช่แล้วนะ ที่นี่ยังเป็นสระน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 30 – 50 องศาเซลเซียส เรียกว่าเป็นออนเซ็นยักษ์กลางป่าก็ว่าได้ ไม่ไกลกันยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินชมป่ากันสบายๆ ไม่ไกลมากด้วยนะ ชิลล์มากจ้า มาลองดู

        18. เกาะห้อง

        เกาะกลางทะเลที่บอกเลยว่ารูปทรงเก๋เว่อร์ เพราะเกาะห้องนี่นะมีลักษณะเป็นห้องสมชื่อจริงๆ เนื่องจากเป็นเกาะที่มีภูเขาสูงล้อมรอบสี่ด้าน มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวซึ่งนำไปสู่ลากูนสีฟ้าใสแจ๋วด้านใน จะเล่นน้ำหรือพายคายัคก็ชิลล์มาก เพราะปราศจากคลื่นลมที่ซัดเข้ามาทำให้เปลืองแรงเลยละ น้ำใส หาดขาว แถมวิวยังสวยแปลกตา ไม่มาไม่ได้จริงๆ

        19. ดินแดงดอย

        เอ่ยชื่อเมืองกระบี่ สิ่งที่ทุกคนคิดถึงก็คือน้ำทะเลสีฟ้าใส ชายหาด และคลื่นขาวๆ กระทบฝั่ง แต่จริงๆ แล้วที่นี่ยังมีเซอร์ไพรส์เป็นดอยสูงให้ได้ตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกลอยเหนือผืนป่าเขียวๆ กันด้วยนะ บนยอดดินแดงดอยมีทั้งจุดชมวิว ห้องพัก และพื้นที่กางเต็นท์ให้สายแค้มปิ้งได้มานอนดูดาวแบบชิลล์ๆ กันด้วยจ้า ตื่นเช้ามาชมวิวสวยของสายหมอกที่ลอยวนอยู่ท่ามกลางภูเขาหินปูน สวยแปลกตาไปกว่าทางภาคเหนือหรืออีสานนะ เชื่อว่าคุณต้องประทับใจ

        20. ท่าปอมคลองสองน้ำ

        เป็นพิกัดที่มีสภาพธรรมชาติซับซ้อนแต่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะความที่เป็นคลองน้ำจืดซึ่งมีปลายทางด้านหนึ่งไหลลงสู่ทะเลอันดามัน น้ำในคลองนี้จึงจะขึ้นและลงสลับกันระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม ทำให้น้ำในคลองกลายเป็นสองสีขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ซึ่งตอนสายๆ นับเป็นช่วงที่น้ำใสปิ๊งเหมาะกับการมาเดินดูเป็นที่สุด รอบๆ ยังมีป่าชายเลน ป่าพรุ และป่าดิบชื้นขึ้นสลับกันเป็นช่วงๆ ด้วยนะ มาที่เดียวได้เห็นธรรมชาติสารพัดรูปแบบ คุ้มจะตาย

        21. ถ้ำพระนาง

        เป็นถ้ำที่อยู่บริเวณปลายสุดของชายหาดถ้ำพระนาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหาดสวยของเมืองกระบี่ ถ้ำนี้เป็นที่ตั้งของศาลพระนางซึ่งบรรดาชาวประมงและผู้คนในท้องถิ่นให้ความเคารพศรัทธา และเชื่อว่าจะคุ้มครองให้เกิดความปลอดภัยยามออกไปทำงานในทะเล ด้านในมีทางเดินประดับไฟให้ชมหินงอกหินย้อยสวยๆ ได้แบบไม่ลำบากยากเย็นนัก เป็นอีกฟีลที่สร้างความแตกต่างและทำให้การเที่ยวทะเลมีสีสันขึ้นจริงๆ

        22. เกาะรอก

        สวรรค์ของคนรักทะเลไทย กับความสวยที่หลายคนขนานนามให้เป็นราชินีแห่งทะเลอันดามัน มีลักษณะเป็นเกาะสองเกาะคู่กันโดยเรียกกันว่าเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน เกาะรอกนั้นมีหาดทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า มีน้ำทะเลสีฟ้าใสเหมือนอยู่ในสระว่ายน้ำเลยเชียวละ ที่เด็ดคือโลกใต้ทะเลที่สวยและสมบูรณ์เหมาะแก่การดำน้ำชมปะการังเป็นอย่างยิ่งจ้า คนรักทะเลต้องมาแล้วนะ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

        23. เกาะพีพี

        ยืนหนึ่งเรื่องชื่อเสียงของความสวยที่ขจรขจายไปแล้วทั่วโลก ในช่วงปกติบนเกาะพีพีจะเป็นพื้นที่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเพียบจ้า เกาะพีพีนั้นแบ่งออกเป็นพีพีดอนและพีพีเล ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน พีพีดอนนั้นเป็นเกาะใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างครบครัน ในขณะที่พีพีเลนั้นเป็นเกาะหินปูนไม่มีชายหาดที่สวยแบบลึกลับน่าค้นหา และเหมาะจะมาดำน้ำเป็นที่สุด สวยพีคด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ทั้งคู่ ถ้าไม่มาคือน่าเสียดาย

        24. ทะเลแหวก

        เป็นแลนด์มาร์คสุด unseen ของกระบี่ที่อยู่ยืนยงคงความสวยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้แวะมา กับการเป็นสันทรายขาวละเอียดเชื่อมเกาะกลางทะเล 3 เกาะไว้ด้วยกัน และจะเห็นได้ในยามน้ำลดเท่านั้น จึงถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดอัศจรรย์ที่ไม่ได้มีให้ดูกันทุกที่ ในภาวะปกติที่นี่จึงคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมากมาย และเมื่อนักท่องเที่ยวยังมาไม่ได้ นี่จึงเป็นช่วงนาทีทองที่จะไปเก็บภาพสวยๆ ตรงทะเลแหวกแบบไม่แออัดรกสายตา มาได้มาจ้ะ ให้ไว

        25. เกาะปอดะ

        เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากฝั่ง ทำให้เดินทางได้ง่าย แต่ความสวยสะใจแบบสุดๆ ไปเลยละ ด้วยหาดทรายขาวสวยละเอียดนุ่มสบายเท้า กับน้ำทะเลสีฟ้าไล่เฉดไล่โทนได้สวยน่าตื่นตาตื่นใจ และมีทิวทัศน์โดยรอบที่สวยแปลกตา เกาะปอดะยังมีทะเลแหวกไซส์ย่อมให้ได้มาลองเดินชิลล์กันในช่วงเวลาน้ำลงด้วยจ้า รักทะเลต้องมาแล้วละ พลาดไปรับรองว่าเสียดายชัวร์ๆ

        26. อ่าวท่าเลน

        ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากหาดทรายขาวๆ และน้ำทะเลสีฟ้าใส แนะนำให้มาใช้เวลาสุดชิลล์ชมวิวสีเขียวแน่นๆ ของต้นไม้ในป่าชายเลนของที่นี่ดูบ้าง อ่าวนี้เป็นพิกัดพายคายัคที่ว่ากันว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยนะ ด้วยทำเลที่มีทั้งภูเขาหินปูนน้อยใหญ่แปลกตา กับป่าชายเลนและสัตว์ป่าแบบแน่นๆ แสนจะสมบูรณ์ ใครเป็นสายผจญภัย การมาพายคายัคที่นี่คือความคุ้มค่า รับรองว่าได้เพลินกับวิวหลักล้านแบบจุใจเต็มตาอย่างแน่นอน

        27. เขาหงอนนาค

        เป็นอีกพิกัดที่จะสร้างความแตกต่างจากน้ำทะเลสวยๆ ด้วยเส้นทางเดินป่าที่เรียกว่าได้เหงื่อพอประมาณ แต่การันตีว่าวิวด้านบนนั้นคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน กับวิวพาโนรามาของสีเขียวสารพัดเฉดโทน ทั้งที่ราบ เนินเขาเรียงติดกันเป็นคลื่น ภูเขาหินปูนสูงชันแปลกตา และน้ำทะเลที่มาเชื่อมต่อจากสุดปลายฝั่ง ด้านบนมีวิวสวยปังให้แชะรูปกันอีกหลายมุมเชียวละ เหนื่อยแต่ฟินแถมได้รูปวิวดีๆ มากระบี่ไม่ควรพลาดเลย

        ———————————————————————————————————————————–

        จัดเต็มมาขนาดนี้ต้องมีซักสองสามที่ที่โดนใจกันบ้างละน่า โซนนี้เที่ยวกันได้แบบยาวๆ ไปจนถึงหน้าร้อนเลยด้วยนะ วางแพลนเที่ยวภูเก็ต – กระบี่กันให้จุกๆ สะใจไปเลย ฟิตหุ่นกันได้แบบเต็มที่ แล้วพกบิกินี่ไปเฉิดฉายริมทะเลสวย ช่วงนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่มาคือนาทีทองของการท่องอันดามันสำหรับชาวไทยอย่างแท้ทรูจริงๆ นะ พลาดคราวนี้ไม่รู้อีกกี่ปีจะได้เที่ยวโล่งๆ แชะรูปสวยๆ แบบไม่มีใครกวนกันแบบนี้จ้า เชื่อว่าได้ฟินกันแบบสุดๆ อย่างแน่นอน

        ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลและภาพประกอบ

        เครดิต: http://unseentourthailand.com/

      • 9 ที่ท่องเที่ยว Unseen ในญี่ปุ่น แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
        9 ที่ท่องเที่ยว Unseen ในญี่ปุ่น แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
        longweekend - พฤษภาคม 11, 2021

        แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง โตเกียว โอซาก้า เกียวโต ฟุคุโอกะ ฮอกไกโด นาโกย่า เพื่อนๆ อาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว ไปเที่ยวทีนึง ก็เหมือนไปต่างจังหวัดที่เต็มไปด้วยคนไทยเดินสวนกันไปหมด จริงๆ แล้วที่ญี่ปุ่นก็มีสถานที่ที่สวยงามซ่อนเร้นรอให้คุณไปสัมผัสอยู่เหมือนกันนะ

        1. “อิ่มอร่อยกับปลาไหล แล้วไปชมพระอาทิตย์ตกลงทะเลทราย”

        Nakatajima Sand Dunes (中田島砂丘) เมือง Hamamatsu จังหวัด Shizuoka
        ทะเลทราย Nakatajima เป็นเนินทะเลทรายขนาดใหญ่ 1 ใน 3 แห่งในญี่ปุ่น อยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบ Hamana และอยู่ติดชายฝั่ง Enshu Nada ในเมือง Hamamatsu จังหวัด Shizuoka มีชื่อเสียงเรื่องปลาไหล และยังเคยเป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ และละครทีวีมาแล้วมากมาย ว่ากันว่าที่นี่ คลื่นลมจะมีการเปลี่ยนทิศทางอยู่แทบตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความแรงของลม และวิวพระอาทิตย์ยามตกลงในทะเลทรายก็งดงามมาก  ในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม  ยังเป็นช่วงเวลาที่เต่าหัวค้อนขี้นมาวางไข่บนเนินทรายแห่งนี้  หากโชคดีก็อาจจะได้พบเจ้าเต่าเหล่านี้อีกด้วย

        พิกัด https://goo.gl/maps/RPM8HutPgzt
        การเดินทาง จากสถานี JR Hamamatsu นั่งรถบัส Nakatajima 中田島 ประมาณ 16 นาทีไปลงที่ Nakatajima Sakyu中田島砂丘
        เว็บไซต์ https://www.inhamamatsu.com/activity/nakatajima-dune.php

        ———————————————————————————————————————————–

        2. “ที่ญี่ปุ่นก็มีแบบนี้ด้วย ! คาเฟ่ในถ้ำลึกลับ”

        Cave Cafe (ケイブカフェ) เมือง Nanjou จังหวัด Okinawa
        จากเมืองนาฮะ นั่งรถยนต์มาเพียงแค่ 30 นาที  ก็จะพบกับหุบเขา Gangara ซึ่งเป็นหุบเขาที่เกิดจากยุบตัวของถ้ำหินปูน  รูปทรงถ้ำเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  ทำให้เกิดช่องว่างตรงบริเวณด้านหน้าของปากถ้ำ จึงเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ Cave Cafe  ที่มีรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร  แถมยังมีการใช้พื้นที่ตรงนี้จัดการแสดงสดอยู่เป็นประจำ ส่วนกลางคืนก็มีการจัดงานเลี้ยงแบบส่วนตัว  นอกจากนี้ยังมีบริการทัวร์ที่จะพานักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านในของถ้ำ โดยต้องจองทัวร์ล่วงหน้า

        พิกัด  https://goo.gl/maps/nbk5Xd6Ntsr

        การเดินทาง  จากเมืองนาฮะ นั่งรถยนต์มาเพียงแค่ 30 นาที

        เว็บไซต์  http://www.gangala.com/

        ———————————————————————————————————————————–

        3. “ล่องไปกับเหล่าธงปลาคราฟ ในสถานที่ลึกลับของเกาะ Shikoku”

        Ooboke Gorge (大歩危峡) เมือง Miyoshi จังหวัด Tokushima
        Ooboke Gorge เป็นโตรกหน้าผาขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 8 กิโลเมตร ขนาบสองข้างของแม่น้ำ Yoshinogawa  มีบริการล่องเรือไปตามแม่น้ำสายนี้  และเมื่อมองจากเรือที่นั่งอยู่ จะเห็นหน้าผาหินสูงชันแลดูคล้ายกับประติมากรรมทางธรรมชาติ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่สามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น  ข้ามสะพานเถาวัลย์  ล่องเรือไปตามกระแสน้ำ  แถมในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่เป็นเทศกาลวันหยุดยาวของคนญี่ปุ่น (Golden Week) ก็จะมีการประดับธงปลาคราฟหลายร้อยตัวเหนือแม่น้ำ ทำให้แลดูเหมือนปลาคราฟเหล่านี้แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำเลยล่ะ
        พิกัด https://goo.gl/maps/24gwCh5QP912

        การเดินทาง  รถส่วนตัวจากทางด่วน Ikawa-Ikeda IC ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 (ทิศที่ไป Takachi)  ประมาณ 35 นาที

        เว็บไซต์  https://www.mannaka.co.jp/restaurant/restaurant.html

        ———————————————————————————————————————————–

        4. “สวรรค์ที่ลอยอยู่กลางทะเลญี่ปุ่น ที่นี่คือ ฮาวาย 2 ล่ะ”

        Mizushima (水島)  เมือง Tsuruga  จังหวัด Fukui
        เกาะเล็กๆ ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่  ตั้งอยู่ใกล้กับปลายแหลมของคาบสมุทร  Tsuruga  ถูกเรียกชื่อว่า ฮาวายของโฮกูริกุ ส่วนหนึ่งของภูมิภาค Chubu ตอนกลางของญี่ปุ่น  เป็นเกาะที่มีวิวทะเลที่สวยงาม  มีน้ำทะเลใสสีมรกต  และพื้นทรายสีขาวสวยงามมาก  ในช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป  เป็นช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่น  เกาะแห่งนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว  ครอบครัวหรือคู่รัก  ที่มาเล่นน้ำทะเลและชื่นชมความงามของเกาะมากมาย
        พิกัด https://goo.gl/maps/rSRZyaC8yRw

        การเดินทาง รถส่วนตัวจากทางด่วน Hokuriku – Tsuruga IC ประมาณ 40 นาที

        กรณีเดินทางโดยรถบัสจากสถานี JR Tsuruga ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดย คอมมูนิตี้บัส “สายโจงู” ลงสถานี “อิโระงะฮามะ ” เดินประมาณเท้า 3 นาที

        เรือข้ามฟาก ที่ท่าเรืออิโระงะฮามะ⇔มิซึชิม่า (ประมาณ 10 นาที) ค่าเรือไปกลับ (ผู้ใหญ่) 1,200 เยน, (เด็ก) 650  เยน

        เว็บไซต์ http://www.turuga.org/th/mizushima/mizushima.html

        ———————————————————————————————————————————–

        5. “คาเฟ่เหนือทะเลเมฆ… สวยราวกับอยู่บนสวรรค์”

        Unkai Terrace (雲海テラス) Hoshino Tomamu Resort จังหวัด Hokkaido
        ที่รีสอร์ตโทมามุ สกีรีสอร์ตชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดฮอกไกโด  มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลเมฆที่สวยงามได้ ราวกับอยู่บนภูเขาสูงเลยล่ะ ที่ระเบียงชมวิวนี้ก็มีร้านคาเฟ่เปิดให้บริการ  ท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับการจิบเครื่องดื่มหรือกาแฟอุ่นๆ ไปพร้อมๆ กับการนั่งชมวิวอลังการงานสร้างของทะเลเมฆ  ช่วงเวลาที่สามารถชมวิวทะเลเมฆได้จะเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคมเท่านั้น สามารถดูรายละเอียดเรื่องวันและเวลาที่เปิดปิดจุดชมวิวนี้ ได้ที่เว็บไซต์ของทางรีสอร์ตค่ะ
        พิกัด https://goo.gl/maps/FVHvVBEQcdJ2

        การเดินทาง  รถส่วนตัวจากทางด่วน Doto – Tomamu IC ประมาณ 5 นาที

        เว็บไซต์ https://www.snowtomamu.jp/summer/unkai/

        ———————————————————————————————————————————–

        6. “Underground temple อลังการราวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้ดิน”

         ทางระบายน้ำรอบนอกเมืองหลวง (首都圏外郭放水路) เมือง Kasukabe จังหวัด Saitama
        จากโตเกียว นั่งรถยนต์มาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสถานที่ที่ถูกเรียกว่าเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใต้ดิน  แต่ความจริงแล้วที่นี่คือทางระบายน้ำรอบนอกเขตเมืองหลวง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง  ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม  ในเขตเมือง Kasukabe จังหวัด Saitama  โดยการสร้างท่อระบายน้ำขนาดใหญ่เพื่อปล่อยน้ำระบายออกไปยังแม่น้ำใหญ่  ภายในทางระบายน้ำมีพื้นที่กว้างขวาง  มีเสาคอนกรีตสูงใหญ่มหึมาตั้งเรียงราย  มีความสูงถึง 18 เมตร   ต้องลงบันไดลงไปชั้นล่างถึง 100 ขั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธ์ยังไงยังงั้นเลย  ผู้ที่สนใจมาเที่ยวชม ต้องจองทัวร์ล่วงหน้าที่เว็บไซต์ของสถานที่ก่อน

        พิกัด  https://goo.gl/maps/9cfB6RUxoFy

        การเดินทาง  นั่งรถไฟสาย Tobu noda line ลงสถานี Minami sakurai ทางออกทิศเหนือ  จากนั้นต่อแท็กซี่

        เว็บไซต์ https://gaikaku.jp/

        ———————————————————————————————————————————–

        7. “ไปว่ายน้ำกับโลมา ที่เกาะอันไกลโพ้นของโตเกียว”

        เกาะ Mikurajima (御蔵島) หมู่เกาะ Tzu เขตโตเกียว
        คุณผู้อ่าน อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ที่โตเกียวก็มีเกาะในทะเลอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่เหมือนกันนะคะ  เกาะมิคุระจิมะ เป็นหนึ่งในหมู่เกาะ Tzu ที่อยู่ในเขตโตเกียว  สำหรับใครที่อยากหาที่เที่ยวแปลกใหม่  ก็สามารถนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือ Takeshiba ในโตเกียวในตอนเย็น  แล้ววาร์ปมาถึงเกาะอันห่างไกลในตอนเช้าตรู่ได้  โดยใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง  เกาะมิคุระจิมะ มีชื่อเสียงในเรื่องโลมาที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ  ถ้าน้องโลมาอารมณ์ดี เค้าก็จะอนุญาตให้มนุษย์แหวกว่ายไปพร้อมๆ กับเขาได้  ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงกลางเดือนเมษายน ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน  สำหรับใครที่จะค้างแรมที่นี่จะต้องทำการจองที่พักล่วงหน้าก่อน เพราะไม่ยังงั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเกาะนะคะ
        พิกัด https://goo.gl/maps/vWoMhzB5eQC2

        การเดินทาง  นั่งเรือเฟอร์รี่เที่ยวกลางคืนจากท่าเรือ  Takeshiba โตเกียว ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง

        เว็บไซต์ http://mikura-isle.com/

        ———————————————————————————————————————————–

        8. “หมู่บ้านแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว”

        Star Village Achi (阿智村) เมือง Shimoina จังหวัด Nagano
        หมู่บ้านดาวแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัด Nagano และ Gifu  เป็นสถานที่ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมว่า  สามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนในยามค่ำคืนได้ดีที่สุดในญี่ปุ่น  เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่สูงและมีอากาศที่บริสุทธิ์  รอบล้อมไปด้วยภูเขารอบด้าน  แนะนำให้มาเที่ยวตอนกลางคืน  นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการ Night Tour โดยการนั่งกอนโดล่าขึ้นไปยังยอดเขา  ที่บนนั้นคุณจะสามารถมองเห็นดวงดาวและทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่าเลยล่ะ
        พิกัด https://goo.gl/maps/ZGFfLKLGDso

        การเดินทาง  นั่งรถไฟสวย JR Iida Line ไปลงที่สถานี Lida แล้วต่อรถบัส Hirugami line bus (30 นาที) ไปลงที่ Sonohara Bus Stop หรือนั่งรถไฟสาย JR Chuo Line ไปลงที่สถานี Kamisuwa แล้วต่อรถบัส Suwa-Hirugami line bus (90 นาที)

        เว็บไซต์ http://sva.jp/

        ———————————————————————————————————————————–

        9. “ออนเซ็นสมัยเอโดะ ต้นแบบโรงอาบน้ำในการ์ตูนชื่อดัง Spirited Away”

        เรียวกัง Sekizenkan ที่ ชิมะออนเซน (Shima-Onsen) จังหวัด Gunma
        เรียวกังที่กลายเป็นต้นแบบโรงอาบน้ำในภาพยนตร์อะนิเมชั่นชื่อดังเรื่อง “Spirited Away” ด้านหน้ามีสะพานสีแดงที่มุ่งไปยังทางเข้าโรงแรม  สร้างบรรยากาศน่าประทับใจเมื่อเข้าไปใช้บริการ  ตัวอาคารทำจากโครงสร้างไม้ที่ใช้เวลาสร้างถึง 4 ปี  จนกลายเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรม  นอกจากนี้ยังว่ากันว่าน้ำพุร้อนของชิมะออนเซนแห่งนี้  ไม่เพียงแต่จะดีต่อผิวหนังเท่านั้น  แต่ยังสามารถดื่มได้เพื่อบรรเทาโรคระบบทางเดินอาหารอีกด้วย

        พิกัด  https://goo.gl/maps/FTeXVb2izuk

        การเดินทาง  สะดวกที่สุดคือนั่งรถบัส Shima Onsen Express Bus จากสถานีโตเกียวไปลงที่ Shima Onsen ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง

        เว็บไซต์ https://www.sekizenkan.co.jp/

        ขอบคุณที่มาและภาพประกอบ

        https://www.jgbthai.com/

        myrepi.com

        ———————————————————————————————————————————–

      • อ่านสักนิด..คิดสักหน่อยก่อนวางแผนไปเที่ยว….                  ทะเลไทย  เที่ยวช่วงไหนดี?
        อ่านสักนิด..คิดสักหน่อยก่อนวางแผนไปเที่ยว…. ทะเลไทย เที่ยวช่วงไหนดี?
        longweekend - เมษายน 20, 2021

        ทะเลสีครามสดใส สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ใครๆก็ชอบไป ช่วงเวลาไหนที่ควรไปเที่ยวทะเล ไปแล้วไม่เจอพายุ มรสุม เรารวบรวมข้อมูลมาให้ท่านได้อ่านก่อนวางแผนเที่ยวทะเลได้แล้วที่นี่

        ช่วงวันเวลาไหน เหมาะไปเที่ยวทะเล ที่ไหนบ้าง

        ทะเลตะวันตก

        สำหรับทะเลฝั่งนี้ จัดได้ว่าเป็นฝั่งที่มีความนิยมอยู่ไม่น้อย มีผู้คนเดินทางไปเที่ยวตลอดทั้งปี ถึงแม้บางเดือนจะเข้าสู่ในช่วงฤดูฝนก็ตาม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็อาจจะเพราะว่า ทะเลที่ีอยู่แถบนี้สามารถเดินทางได้ง่าย ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชม. แถมยังมีที่พักให้เลือกมากมายหลายแบบ บางทีไม่จำเป็นจะต้องลงไปเล่นน้ำทะเลก็ได้ แค่ได้นอนชมบรรยากาศ การตกแต่งของห้องพักไปเพลินๆ แค่นี้ก็ฟินแล้ว แต่ถ้าใครไม่อยากไปช่วงฤดูมรสุม ก็สามารถเลือกช่วงเวลาก่อนไปทะเลฝั่งตะวันตก เช่น หัวหิน ชะอำ ประจวบคีรีขันธ์ ปราณบุรี เพรชบุรี

        ช่วงที่เหมาะไปเที่ยว คือ เดือน ธันวาคม – เมษายน ช่วงที่มีมรสุม คือ ช่วงเดือน มิถุนายน – ตุลาคม ช่วงที่เฝ้าระวัง คือ เดือน พฤษภาคม , พฤศจิกายน

        ทะเลตะวันออก

        อีกหนึ่งชายฝั่งทะเลที่เป็นจุดหมายของทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติ เนื่องจากว่าเป็นฝั่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ซึ่งถ้าหากใครชอบความเป็นเมืองแห่งไนท์ไลฟ์ แนะนำให้ไปที่พัทยา หรือถ้าหากใครอยากไปนอนฟังเสียงคลื่น ชมวิวพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติกก็แนะนำให้ไปเกาะเสม็ด และหากใครอยากไปเที่ยวทะเลที่มีความไพรเวทเป็นส่วนตัว การไปเที่ยวเกาะกูดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เกาะช้าง เกาะกูด เกาะขาม จังหวัด ตราด , เกาะเสม็ด เกามันนอก เกาะทะลุ จังหวัด ระยอง , พัทยา เกาะล้าน เกาะแสมสาร เกาะขาม จังหวัด ชลบุรี เป็นต้น

        ช่วงที่เหมาะไปเที่ยว คือ เดือน ธันวาคม – มีนาคม สำหรับช่วงมรสุมเข้า คือ เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม ช่วงเฝ้าระวัง คือ เดือน เมษายน , พฤศจิกายน

        ทะเลอันดามัน

        เกาะขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามที่ทุกคนอยากไปสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต อาทิ เกาะหลีเป๊ะ เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล , เกาะกระดาน เกาะมุก จังหวัดตรัง , เกาะรอก หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เป็นต้น

        ช่วงที่เหมาะไปเที่ยว คือ เดือน ธันวาคม – มีนาคม สำหรับช่วงมรสุมเข้า คือ เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม ช่วงเฝ้าระวัง คือ เดือน เมษายน , พฤศจิกายน

        ทะเลอ่าวไทย

        ถัดจากทะเลฝั่งอันดามันมาไม่ใกล้ไม่ไกล ก็เจอกับทะเลฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง อาทิ จังหวัด สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่เกาะที่มีชื่อเสียง ที่เห็นจะโด่งดังที่สุด ต้องยกให้กับเกาะพงัน ที่มักจะมีการจัดงาน Full moon party ขึ้นมา ซึ่งจริงอยู่ที่งานนี้จัดกันตลอดทั้งปี แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณเลือกไปเที่ยวในช่วงที่คลื่นลมสงบ ไม่มีมรสุม

        ช่วงที่เหมาะไปเที่ยว คือ เดือน เมษายน – ตุลาคม สำหรับช่วงมรสุมเข้า คือ เดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ ช่วงเฝ้าระวัง คือ เดือน มีนาคม , พฤศจิกายน

      • เที่ยวชมทะเลสาบไบคาล (Lake Baikal) ทะเลสาบระดับมรดกโลก
        เที่ยวชมทะเลสาบไบคาล (Lake Baikal) ทะเลสาบระดับมรดกโลก
        longweekend - เมษายน 5, 2021

        หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศรัสเซีย บอกเลยว่าห้ามพลาดความสวยงามของทะเลสาบที่ดูอบอวลด้วยมนต์เสน่ห์อันพิลึกแบบแปลกตา ได้ที่ “ทะเลสาบไบคาล” ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ดินแดงแถบไซบีเรีย ทางตะวันออกของรัสเซีย จะมีอุณหภูมิติดลบหนักมากอาจหนาวโหดถึง -40 องศา สวยงามและหนาวเย็นสุดขั้ว ด้วยบรรยากาศเวลาเข้าไปถึง จะรู้สึกเหมือนกับการได้ท่องเที่ยวในดินแดนน้ำแข็ง เพราะพื้นที่ปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น ไอหมอกแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ มีภูเขาขนาดใหญ่โอบล้อมทะเลสาบเหมือนเป็นกำแพงกั้นเขตแดน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลความลึบลับและอากาศหนาวเย็น รับรองว่านักผจญภัยจะต้องไม่ผิดหวังกับความน่าตื่นตาตื่นใจของทะเลสาบไบคาล

        “Lake Baikal” ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย และแน่นอนว่าความหนาวเย็นติดลบจนหายใจออกมาเป็นไอหมอกนั้นเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางไกลมาชมผลงานที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ และแน่นอนว่าท่านจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสความหนาวเย็นแบบนี้ที่ประเทศไทย

        อาณาเขตของแผ่นดินน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ Lake Baikal พื้นที่โดยรอบของทะเลสาบมีความยาววัดได้ประมาณ 650 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 50 กิโลเมตร รวมพื้นที่ก็น่าจะได้ราวๆ 31,700 ตารางกิโลเมตร หรือ 19,826,250 ไร่ เป็นทะเลสาบน้ำจืด ก่อกำเนิดมาจากน้ำที่เอ่อท่วมเข้าไปในรอยเปลือกโลกที่แตกออกจากกัน จนกลายเป็นทะเลสาบธรรมชาติ กระบวนการนี้ไม่ได้ใช้เวลาเพียงข้ามคืนหรือไม่กี่วัน ทว่าใช้เวลาเกือบ 25 ล้านปีกว่าจะกลายมาเป็นทะเลสาบอันเก่าแก่แห่งนี้ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาล ประวัติที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลามาช้านานเป็นล้าน ๆ ปีเช่นนี้ ที่นี่จึงหนีไม่พ้น กลายเป็นอีกแหล่งมรดกโลกสุดอัศจรรย์ของนักผจญภัยที่ชอบความท้าทาย

        คำติชมจากลูกค้า
        • คุณเรวดี
          มอสวิว รีสอร์ท เขาค้อ เพชรบูรณ์ ผู้จัดการ - มอสวิว รีสอร์ท เขาค้อ ม่อนแจ่ม-เชียงใหม่ 3วัน 2คืน

          ประทับใจมากๆ ทริปสนุกมาก ท่องเที่ยวเส้นทางม่อนแจ่ม-เชียงใหม่ ไกด์นำเที่ยวเป็นกันเอง อาหารอร่อย และมีกิจกรรมให้เล่นก่อนขึ้นนอนที่ม่อนแจ่ม

          จองผ่านไลน์

          ติดต่อโปรโมชั่นทัวร์